CNBC ได้หยิบยกคำแนะนำนี้มาจากคริสโตเฟอร์ พาร์มเมอร์ ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชจาก Harvard Medical School ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Brain Energy: A Revolutionary Breakthrough in Understanding Mental Health” หรืออาจจะพอแปลเป็นไทยได้ว่า “พลังงานสมอง: การปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่ในการทำความเข้าใจสุขภาพจิต” ศาสตราจารย์คริสโตเฟอร์ ได้ใช้เวลาตลอด 27 ปีในการศึกษาความเชื่อมโยงที่น่าประหลาดใจระหว่างสุขภาพจิต สุขภาพกาย และสุขภาพสมอง
ในช่วงอายุ 20 ปีของศาสตราจารย์คริสโตเฟอร์ ได้ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคผิดปกติของระบบเมตาบอลิก ซึ่งตอนนั้นทำให้มีอาการผิดปกติหลายอย่างรวมกันและมีความเสี่ยงมากต่อโรคหัวใจ หลอดเลือดและโรคเบาหวาน แต่เมื่อ ศาสตราจารย์คริสโตเฟอร์มีการเปลี่ยนวิถีชีวิตบางอย่างกลับสามารถเอาชนะมันได้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน โดยกลับทำให้ยังรักษาความเฉลียวฉลาด ความกระฉับกระเฉง และมีสุขภาพดีต่อไปโดยมีการสรุปเป็นหลักการนิสัย 6 ข้อ ที่ไม่เคยทำ เพื่อให้สมองดี และสุขภาพดี
เจอข้อแรกหลายคนอาจจะร้องโอดโอย หากจะต้องเลิกรับประทานเบเกอรี่ ของทอด ข้าว แป้ง อย่างที่เราทราบกันว่าอาหารมีส่วนทำให้เกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน และสุขภาพของหัวใจ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าอาหารมันมีผลอย่างมากต่อระบบสมองด้วย
ศาสตราจารย์คริสโตเฟอร์ อธิบายว่า เมื่อตอนที่มีอาการผิดปกติของระบบเมตาบอลิซึม เค้าจะรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ เลิกทานหรือลดธัญพืช ขนมอบ ขนมหวาน และผลไม้ที่มีน้ำตาลหรือแป้งสูงๆ เลือกจะรับประทานไข่เป็นอาหารเช้า ส่วนในระหว่างวันเลือกทานผัก ผลไม้ และเนื้อปลาและสัตว์ปีกในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งช่วยให้สามารถรักษาน้ำหนักให้แข็งแรงและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ต่ำลงได้อีกด้วย
ข้อ2 นี่ก็เป็นสิ่งที่หลายคนบอกว่าทำยาก เพระามไ่มีเวลาทำงานก็เหนื่อยแล้ว แต่ผลการศึกษาของชาวอเมริกัน 1.2 ล้านคนพบว่าการออกกำลังกายไม่ได้ดีแค่สุขภาพกาย ยังดีต่อสุขภาพจิตด้วย แต่ละคนมีอัตราการออกกำลังกายที่เหมาะสมแตกต่างกันไป
ศาสตราจารย์คริสโตเฟอร์ บอกว่า การออกกำลังกายที่เหมาะสมของเค้าคือ 45 นาที 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ นอกจากการยืดกล้ามเนื้อและการออกกำลังกายหลักแล้ว เค้ายังยกน้ำหนัก วิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ และเดินเร็วอีกด้วย เค้าไม่ได้กดดันตัวเองให้ออกกำลังกายทุกวัน แต่ก็ไม่เคยหยุดกิจกรรมแอโรบิกเกินสองวัน
การนอนหลับไม่ดี เป็นปัญหาสำคัญมากและมีผลต่อสมอง อาจส่งผลให้เกิดความบกพร่องทางสติปัญญา หรือนำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์เมื่อเวลาผ่านไป นอกจากนี้ยังสามารถส่งผลกระทบต่ออารมณ์และนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า เรื่องนคุณสังเกตุตัวเองได้เลยว่าวันไหนนอนน้อย ความตื่นตัวของสมองก็จะไม่ดีตามไปด้วย
เมื่อคุณนอนหลับ ร่างกายของคุณจะเข้าสู่สภาวะ "พักผ่อนและซ่อมแซม"สมองผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมายในเซลล์ประสาทที่มีส่วนสำคัญต่อการเรียนรู้และความจำ หากไม่ได้นอน เซลล์จะอยู่ในสภาพทรุดโทรมและเริ่มทำงานผิดปกติได้
ปริมาณการนอนหลับที่ผู้คนต้องการแตกต่างกันไป แต่สำหรับศาสตราจารย์คริสโตเฟอร์มักจะนอนอย่างน้อยเจ็ดชั่วโมงต่อคืน ฉันมักจะเข้านอนก่อน 20.00 น. หรือ 21.00 น. และตื่นตอนตี 4 กิจวัตร “เข้านอนแต่หัวค่ำ ตื่นเช้า” ทำให้ฉันเฉียบคมและมีสมาธิมากขึ้นตลอดทั้งวัน
บางคนอาจจะเคยคิดว่า ที่ดื่มอยู่ไม่ได้ดื่มให้เมา เช่นอาจจะเลือกดื่มไวน์สักแก้วในตอนเย็นเพื่อผ่อนคลาย แต่ศาสตราจารย์คริสโตเฟอร์ เล่าว่า ในเดือนมิถุนายน 2020 เค้าตัดสินใจเลิกดื่มเด็ดขาดเป็นเวลาหนึ่งเดือน จากนั้นภายในไม่กี่สัปดาห์สังเกตพบว่าการนอนหลับและประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น จากนั้นฉันจึงตัดสินใจเลิกดื่มไปเลย ในแบบที่ไม่เคยแตะต้องอีกเลย ในการศึกษาคนกว่า 36,000 คน การดื่มแม้แต่ 1-2 แก้วต่อวันก็สัมพันธ์กับการฝ่อหรือหดตัวของสมองได้
การพัฒนาตัวเองในทีนี้คือ การทำเข้าใจตัวเอง และความต้องการของตัวเงอมากขึ้นด้วยวิธีการจิตบำบัด เพื่อให้เป้าหมายในชีวิตแข็งแกร่งมากขึ้น การฝึกจิตบำบัดมุ่งเน้นไปที่ ความเข้าอกเข้าใจ ความสัมพันธ์ การอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม หรือการพัฒนาสติปัญญาให้มีความแข็งแกร่ง เสริมสร้างวงจรของสมองที่ยังไม่พัฒนา
มนุษย์ถูกขับเคลื่อนด้วยการมีเป้าหมายในชีวิต เมื่อไหร่ที่คนเราขาดเป้าหมายมันจะกระตุ้นการตอบสนองต่อความเครียดเรื้อรัง จนนำไปสู่ระบบการทำงานความรู้ความเข้าใจที่ไม่ดี
จำไว้ว่าเป้าหมายในชีวิตมีหลายแง่มุม อาจจะเกียวกับความสัมพันธ์กับผู้อื่น ตัวเราเอง คนรอบข้าง แต่อย่างน่อยในชีวิตคนควรมีเป้าหมายในบทบาทใดบทบาทหนึ่ง เพื่อให้เราเห็นคุณค่าในตัวเอง
6 ข้อนี้ไม่ได้มีเรื่องใหม่อะไรเลย แต่เชื่อหรือไม่ว่าเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเราที่เลิกยาก และหลายคนบอกว่าทำยาก อย่าเพิ่งดูถูกตัวเอง เพราะสมองคือสิ่งสำคัญที่เราต้องใช้มันไปตลอดชีวิตยิ่งดูแลช้ามันก็ยิ่งเสื่อมถอยลงไปทุกวัน