เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดเจน มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดี และเร็วกว่าหลายประเทศ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว การบริโภค ฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดเจนในปี2565 และในปี2566 จะมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยคณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดการณ์เศรษฐกิจไทย ปี2566 โต 3.0-3.5% แน่นอนว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะส่งผลดีต่อหลายธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม ท่องเที่ยว อาหาร ไลฟ์สไตล์ ค้าปลีก ค้าส่ง และเชื่อว่าจะมีหลายบริษัทที่ได้อานิสงค์จากธุรกิจฟื้นตัว หนึ่งในนั้น คือ บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)” หรือ “MINT”
โดยบริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)” หรือ “MINT” คืออีกหนึ่งบริษัทที่มีธุรกิจในมือมากมาย ถือเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจพักผ่อนและสันทนาการที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สามารถครองใจลูกค้ากว่า 148 ล้านราย ใน 63 ประเทศทั่วโลก
หากย้อนดูผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปี ของ MINT มีรายได้รวมกว่า 4 แสนล้านบาท รายได้หลักมาจาก
1. ธุรกิจโรงแรม 75%
2.ธุรกิจอาหาร 23%
3.ธุรกิจไลฟ์สไตล์ 2%
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 9 เดือนแรกปี 2565 MINT มีรายได้ 8 หมื่นล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,375.71 ล้านบาท
แน่นอนว่าเส้นทางความสำเร็จของ MINT จากจุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบันมีเรื่องราวที่น่าสนใจ และน่าติดตามมากมาย จากจุดเริ่มต้นของนักธุรกิจเชื้อชาติอเมริกัน สัญชาติไทย ‘คุณบิล-มร.วิลเลียม ไฮเน็ค’ ผู้ก่อตั้งอาณาจักรไมเนอร์ฯ ที่เริ่มปลุกปั้นอาณาจักรแห่งนี้มาจนเติบโตมาถึงทุกวันนี้ กว่า 50 ปีของธุรกิจ จากโลคอลแบรนด์ สู่บริษัทระดับโกลบอล จากการเริ่มต้นธุรกิจด้วยเงินทุนหลักหมื่นบาท สู่การเป็นบริษัทระดับแสนล้านบาทในปัจจุบัน
ปัจจุบันใต้ปีก MINT มีธุรกิจหลัก 3 กลุ่ม ที่ยังเดินหน้าเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ดังต่อไปนี้
1.ไมเนอร์ โฮเทลส์
-โรงแรมในเครือ 520 แห่ง 56 ประเทศ ทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา คาบสมุทรอินเดีย ยุโรป อเมริกาใต้ และอเมริกาเหนือ ห้องพักรวม 75,000 ห้อง มีแบรนด์ต่างๆมากมาย อย่างเช่น แบรนด์ อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, ทิโวลี, เอ็นเอชคอลเลคชั่น, เอ็นเอช, นาว, เอเลวาน่า, แมริออท, โฟร์ซีซั่นส์, เซ็นต์รีจิส, เรดิสันบลู
นอกจากนี้ยังมีธุรกิจศูนย์การค้าและบันเทิง ธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย และโครงการพักผ่อนแบบปันส่วนเวลา
2.ไมเนอร์ฟู้ด
ธุรกิจร้านอาหารของ MINT ถือว่าใหญ่ที่สุดในเอเชีย จำนวนเชนร้านอาหาร 2,400 สาขา 23 ประเทศ แบรนด์หลักได้แก่ แบรนด์เดอะพิซซ่าคอมปะนี , เดอะคอฟฟี่คลับ, ริเวอร์ไซด์, เบนิฮานา, ไทยเอ็กซ์เพรส, บอนชอน,กาก้า, คอฟฟี่เจอนี่, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ควีน,เบอร์เกอร์คิง
3.ไมเนอร์ไลฟ์สไตล์
นอกจากนี้ MINT ยังมีการจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ อย่าง เช่น กระเป๋า เสื้อ ซึ่งมีจุดจำหน่าย 300 แห่งใหญ่ที่สุดในไทย มีแบรนด์ อย่างเช่น อเนลโล่, เบิร์กฮอฟฟ์, บอสสินี่, ชาร์ลแอนด์คีธ, โจเซฟโจเซฟ, สวิลลิ่งเจ.เอ. เฮ็งเคิลส์ , ไมเนอร์สมาร์ทคิดส์
ในปี 2566 ที่หลายธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายต่อเนื่องหลังสถานการณ์โควิด 19 ทั้งต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย แนวทางการดำเนินธุรกิจจากนี้ไปของ MINT จึงมาพร้อมกับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกด้าน เช่น
1.พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (People)
2.สร้างห่วงโซ่คุณค่าที่ยั่งยืน (Value Chain) MINT
3.ปกป้องสิ่งแวดล้อม (Planet)
4.ยึดมั่นธรรมภิบาล (Governance)
5.สร้างคุณค่าร่วม (Shared Value)
ไม่ว่าโมเดลธุรกิจจะแตกไลน์ออกไปเพื่อไปตอบโจทย์ผู้บริโภคแค่ไหน แต่การทำธุรกิจบนพื้นฐานการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นสิ่งที่ธุรกิจทั่วโลกกำลังปรับไปสู่เป้าหมายนี้ เพื่อรับกับความไม่นอนของโลกอนาคต ซึ่ง “MINT” คือหนึ่งในบริษัทรายใหญ่ของประเทศไทยที่กำลังปรับตัวเช่นกัน จากนี้ไปต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่าธุรกิจของ “MINT” ในปีกระต่ายทองนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป !