ก่อนหน้านี้ ในเดือนธันวาคมปี 2022 ได้มีรายงานออกมาว่า Apple มีแผนที่จะย้ายฐานการผลิตของหลายสินค้า ไม่ว่าจะเป็น Apple Watch, Macbook และ Homepod ไปเวียดนาม
ในช่วงปลายปี 2022 ที่ผ่านมา สื่อนอกก็เริ่มรายงานว่า Apple มีแผนที่จะกระจายฐานการผลิตสินค้าออกจากจีน ที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของสินค้า Apple หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad, Macbook, Airpods เพราะต้องการกระจายความเสี่ยงและลดผลกระทบที่จะเกิดต่อสายพานการผลิตในกรณีที่เกิดเหตุไม่สงบหรือความขัดแย้งขึ้น
ในช่วงกลางและท้ายปี 2022 ที่จีนยังไม่ได้ประกาศเปิดประเทศ Apple ได้รับความเสียหายมากจากการระบาดของโควิด-19 และนโยบาย Zero-Covid ของจีน ที่ทำให้เกิดเหตุคนงานโดดรั้วหนีการล็อคดาวน์ และการประท้วงต่าแรงและค่าชดเชยในโรงงานผลิต iPhone ในจีน ของ Foxconn ทำให้ Apple ไม่สามารถผลิตสินค้าป้อนลูกค้าได้รวดเร็วตามที่คาดการณ์
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนก็กำลังเลวร้ายลง ทำให้ต้นทุนในการผลิตสินค้าอาจสูงขึ้นได้อนาคตจากมาตรการกีดกันการค้า ค่าแรงก็มีการปรับตัวสูงขึ้นในขณะที่คนงานมีอายุมากขึ้น ทำให้ Apple เห็นความสำคัญของการย้ายการผลิตบางส่วนออกจากจีนเพื่อรักษาผลกำไรไว้
นอกจากเวียดนามแล้ว ประเทศอื่นๆ ที่ Apple มีแผนออกไปตั้งฐานการผลิตก็คือกลุ่มประเทศเอเชียที่มีจุดเด่นด้านจำนวนแรงงาน และค่าแรง อย่างเช่น อินเดีย อินโดนีเซีย รวมไปถึงประเทศไทย
โดยประเทศแรกที่ Apple เลือกย้ายฐานการผลิตไปก็คือ ‘อินเดีย’ ที่ในปัจจุบันเป็นผู้ผลิต iPhone ประมาณ 5-7% ในตลาดในขณะนี้ จากการรายงานของ CNN Apple มีแผนที่จะเพิ่มการผลิตในอินเดียให้ถึง 25% เพราะมองว่าอินเดียเป็นประเทศที่มีแรงงานราคาถูกจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีผู้มีความรู้ด้านเทคนิคที่ Apple ต้องการ
ก่อนหน้านี้ Nikkei Asia ยังรายงานอีกว่า Apple มีความสนใจที่จะมาเปิดฐานการผลิตที่ไทย โดยในขณะนี้ Apple และผู้ผลิตในประเทศไทยกำลังมีการเจรจาเพื่อที่จะผลิต Macbook ในประเทศไทยอยู่ เพื่อดูความเหมาะสมของสถานที่และความพร้อมในด้านเทคโนโลยีในการผลิต และมีผู้ผลิตบางรายได้เริ่มทดลองผลิตสินค้าให้กับ Apple แล้ว
อย่างไรก็ตาม จากรายงานพบว่า Apple ยังคงเห็นว่าเวียดนามน่าสนใจมากกว่า เพราะตั้งอยู่ใกล้จีน และมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) หลายฉบับกับต่างชาติที่ทำให้การขนส่งสินค้าระหว่างเวียดนาม และประเทศอื่นๆ มีความคล่องตัวมากกว่าไทย
ที่มา: Bloomberg, CNBC, Forbes, CNN