สืบเนื่องจากปาฐกถาพิเศษของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ซึ่งได้กรุณาให้เกียรติบรรยายในงาน SPOTLIGHT DAY 2024 : Sustainability Disruption - ธุรกิจปรับ ก่อนถูกเปลี่ยน นับเป็นการตอกย้ำเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของภาครัฐบาลในการนำพาประเทศไทยไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นให้ภาคอุตสาหกรรมตระหนักถึงความจำเป็นในการปรับตัวให้สอดคล้องกับพลวัตของโลก ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความขัดแย้งในระดับภูมิรัฐศาสตร์ วิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุข ตลอดจนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศ
ประเด็นสำคัญที่ท่านรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คือการบูรณาการความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมเข้ากับการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างสมดุล โดยได้หยิบยกกรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาขยะอุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจที่ดำเนินกิจการโดยชอบด้วยกฎหมาย ตลอดจนการปราบปรามการลักลอบนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อคุ้มครองผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านรัฐมนตรียังได้ฉายภาพให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน โดยอาศัยปัจจัยเกื้อหนุน อาทิ ทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ นโยบายส่งเสริมการลงทุน และความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน อันจะเป็นการเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยในเวทีสากล
ทั้งนี้ การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และภาคประชาชน โดยท่านรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้ทุกฝ่ายร่วมกันแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ปรับตัวให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง และร่วมกันสร้างสรรค์โอกาสใหม่ๆ เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน
ท้ายที่สุดนี้ ท่านรัฐมนตรีได้กล่าวย้ำถึงความสำคัญของการ "ลงมือปฏิบัติอย่างทันท่วงที" ด้วยความฉับไว และความเข้มแข็ง เพื่อเผชิญหน้ากับความท้าทาย และคว้าโอกาสในการพัฒนาประเทศ โดยแสดงความเชื่อมั่นว่าด้วยพลังแห่งความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ประเทศไทยจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรค และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม
โดย คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวในหัวข้อ Opportunities and Future of Sustainable Industry โอกาสและอนาคตของอุตสาหกรรมไทยก้าวสู่ความยั่งยืน ว่า ความยั่งยืน ทางรอดของอุตสาหกรรมไทย ท่ามกลางคลื่นดิสรัปชั่น โดย เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
“ธุรกิจปรับ ก่อนถูกเปลี่ยน” ประโยคสั้นๆ แต่ทรงพลังจากท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ชี้ให้เห็นถึงหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบัน นับเป็นนิมิตหมายอันดีที่ภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือกัน มองเห็นภาพเดียวกัน และมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ความยั่งยืน ซึ่งเป็นหัวข้อหลักที่เราจะได้ยินกันบ่อยครั้งในวันนี้
คำถามสำคัญ คือ ทำไม “ความยั่งยืน” จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในยุคแห่ง Disruption?
เราต่างทราบดีว่าโลกเผชิญกับความท้าทายมากมาย ภาคอุตสาหกรรมไทยเองก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เริ่มจาก Digital Disruption หรือ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรมอย่างทั่วถึง อุตสาหกรรมแบบเดิมๆ ที่เคยเติบโตตามรูปแบบแผนเดิม กลับต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลายอุตสาหกรรมปรับตัวไม่ทัน ถูกดิสรัปชั่น และล้มหายตายจากไป ไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง แต่แทบจะทุกอุตสาหกรรมต่างได้รับผลกระทบ เพียงแต่จะเร็วหรือช้าต่างกันไป
"ทั้งโลกกำลังอยู่ในความไม่แน่นอน การที่เราจะทรานส์ฟอร์มประเทศไปสู่เรื่องของความยั่งยืนเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าเราไม่ช่วยกันดูแลโลกนี้ เราจะเจอกับมหันตภัยภัยธรรมชาติสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้"
ถัดมาคือ วิกฤตการณ์โควิด-19 โรคระบาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในรอบหลายร้อยปี แม้จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็ทิ้งร่องรอย “ลองโควิด” ไว้เป็นแผลเป็น เศรษฐกิจไทยและภาคอุตสาหกรรมยังคงเปราะบาง และฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ต่อมาคือ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ หรือ Geopolitics สงครามที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชน รวมถึง Trade War ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งและอันดับสองของไทย ประเทศไทยจะได้รับประโยชน์หรือเสียประโยชน์จากสงครามการค้าครั้งนี้? นี่คือโจทย์ท้าทายที่ต้องหาคำตอบ
แต่เหนือสิ่งอื่นใด ความท้าทายที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าสงครามจะเกิดขึ้นที่ใด ไม่ว่าจะเป็น Trade War หรือสงครามภูมิรัฐศาสตร์ คือ Climate Change หรือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชากรโลก 8,000 ล้านคน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาจเรียกได้ว่าเป็นสงครามครั้งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ ผลกระทบอาจรุนแรงยิ่งกว่าสงครามนิวเคลียร์ และไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้
โลกเดือด ความท้าทายของอุตสาหกรรมไทยบนเส้นทางสู่ความยั่งยืน
ผลสำรวจในปี 2023 บ่งชี้ว่าปัญหาโลกร้อน (Global warming) กำลังทวีความรุนแรงขึ้น โลกกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะจุดเดือด (Boiling) จากที่เคยอุ่นๆ ร้อนๆ บัดนี้โลกร้อนขึ้นจนราวกับถูกต้ม อุณหภูมิเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1.48 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและก๊าซเรือนกระจก
ผลกระทบของโลกร้อนเห็นได้ชัดในประเทศไทย ปี 2567 มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 8 รอบ โดยสูงสุดอยู่ที่ 35,830 เมกะวัตต์ สาเหตุหลักมาจากอากาศที่ร้อนขึ้น แม้ในปี 2567 ประเทศไทยอาจยังไม่เผชิญกับภัยพิบัติรุนแรง แต่ความร้อนที่เพิ่มขึ้นนี้ ย่อมนำไปสู่การใช้พลังงานที่มากขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก
ทั่วโลกกำลังร่วมมือกันเพื่อควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ก๊าซมีเทนและคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหา ภัยพิบัติต่างๆ เกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น รุนแรงขึ้น และเกิดในพื้นที่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ด้านภาคอุตสาหกรรมเองก็ต้องเผชิญกับความท้าทายนี้เช่นกัน การรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก กลายเป็นกติกาใหม่ของโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตระหนักถึงความท้าทายนี้ กลไกใหม่ๆ เช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ซึ่งบังคับใช้โดยสหภาพยุโรป (EU) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ในเบื้องต้น CBAM มีผลบังคับใช้กับ 5-6 อุตสาหกรรมหลัก เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม เยื่อกระดาษ ปิโตรเคมี ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยให้เวลาปรับตัว 2 ปี หลังจากนั้น ทุกอุตสาหกรรมจะต้องปฏิบัติตาม
พูดง่ายๆ คือ สินค้าใดที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต จะต้องเสียค่าปรับ คำถามคือ ผู้ผลิตจะรู้ได้อย่างไรว่าสินค้าแต่ละชิ้นปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เท่าใด? นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ภาคอุตสาหกรรมต้องเรียนรู้ ประเทศไทยพึ่งพาการส่งออก แม้ปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกต่อ GDP จะลดลง แต่ก็ยังคงเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุด เมื่อลูกค้า (ต่างประเทศ) กำหนดเงื่อนไข ผู้ผลิตไทยก็ต้องปรับตัว แม้จะไม่ชอบ แม้ต้นทุนจะเพิ่มขึ้น ก็ต้องทำ มิฉะนั้น ก็จะไม่สามารถขายสินค้าได้
คาร์บอนเครดิต โอกาสและความท้าทายของอุตสาหกรรมไทยในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง
ภาคอุตสาหกรรมไทย ซึ่งคุ้นเคยกับการผลิตสินค้าที่จับต้องได้ กำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของธุรกรรม "คาร์บอนเครดิต" โรงงานที่ปล่อยคาร์บอนจำนวนมาก จะต้องซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชย ขณะที่อุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ สามารถขายคาร์บอนเครดิตได้ เกิดเป็นกลไกการซื้อขายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ประเทศไทยกำลังจะมีพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในอนาคตอันใกล้ เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น CCUS (Carbon Capture, Utilization and Storage) หรือ การดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน กำลังได้รับความสนใจ การนำคาร์บอนที่ดักจับได้กลับมาใช้ใหม่ และการจัดหาพื้นที่กักเก็บ เป็นประเด็นสำคัญ ปตท. เล็งเห็นโอกาสในการใช้ประโยชน์จากหลุมก๊าซธรรมชาติที่ว่างเปล่า เพื่อกักเก็บคาร์บอน
นอกจากนี้ "ภาษีคาร์บอน" (Carbon Tax) ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ต้องจับตามอง คำถามคือ ผู้ประกอบการ SME มีความพร้อมมากน้อยเพียงใด? ทั้งในด้านเงินทุน บุคลากร และเทคโนโลยี ในขณะที่ SME หลายรายกำลังประสบปัญหา การปรับตัวเพื่อรับมือกับ Carbon Tax อาจเป็นภาระที่หนักอึ้ง
การประชุม COP (Conference of the Parties) ซึ่งเป็นเวทีระดับโลก ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาโลกร้อน COP29 ซึ่งจัดขึ้นในสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ณ ประเทศสกอตแลนด์ ประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยตั้งเป้าลด 40% ภายในปี 2030 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065
COP29 ได้ข้อสรุปสำคัญ คือ การจัดตั้งกองทุน Green Finance เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี การลงทุนในเครื่องจักร และกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ จะต้องให้เงินทุนและปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ แก่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อช่วยในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ COP29 ยังบรรลุข้อตกลงในเรื่องตลาดคาร์บอน การปรับตัว และความโปร่งใส อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงผู้นำสหรัฐฯ ในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ ส่งผลต่อการเข้าร่วมประชุม COP29 ของผู้นำประเทศต่างๆ
Next Gen Industry ทางรอดของอุตสาหกรรมไทยในยุคแห่งความยั่งยืน
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประกอบด้วย 47 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยกลุ่มล่าสุดที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว คือ อุตสาหกรรมการบิน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรม New S-Curve ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมเดิม 46 กลุ่ม ส่วนใหญ่เป็นผู้รับจ้างผลิต (OEM)
การส่งออก ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ส่วนใหญ่เป็นการรับจ้างผลิตให้กับบริษัทต่างชาติ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ประเทศไทยไม่มีแบรนด์เป็นของตนเอง แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทาน เมื่ออุตสาหกรรมยานยนต์โลกถูกดิสรัปชั่น อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยก็ได้รับผลกระทบ ยิ่งไปกว่านั้น มูลค่าเพิ่มจากการส่งออกส่วนใหญ่ตกอยู่กับบริษัทแม่ ประเทศไทยได้รับส่วนแบ่งไม่เกิน 5%
อุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญกับการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งมีค่าแรงถูก มีแรงงานจำนวนมาก ขณะที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประเทศเหล่านี้ยังมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้าจำนวนมาก ทำให้สินค้าส่งออกของพวกเขา ได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า ในขณะที่สินค้าไทยต้องเสียภาษี
การพัฒนาอุตสาหกรรมสู่ Next Gen Industry จึงเป็นทางออก และเป็นโอกาสของประเทศไทย ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระแสความยั่งยืน สำหรับ ประเทศไทยกำลังปรับโครงสร้างการลงทุน จากเดิมที่เน้นการเป็น OEM ผลิตสินค้าที่ใช้แรงงาน ใช้เทคโนโลยีล้าสมัย และก่อมลภาวะ สู่การเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมสีขาวและสีเขียว ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมา ประเทศไทย มักเป็นทางเลือกของ อุตสาหกรรมที่ย้ายฐานการผลิต เพราะค่าแรงถูก และ กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมไม่เข้มงวด แต่อุตสาหกรรมเหล่านี้ ไม่ใช่อุตสาหกรรมที่ประเทศไทยต้องการ ในอนาคต
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ใช้โอกาสจากปัญหา Geopolitics และ Trade War ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ที่กำลังมองหาฐานการผลิตแห่งใหม่ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตัวเลือก และมีแนวโน้มการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อุตสาหกรรมแห่งอนาคต โอกาสของไทยในเวทีโลก
ปีนี้ ประเทศไทยมีข่าวดี โดยในช่วง 8-9 เดือนที่ผ่านมา BOI ประสบความสำเร็จในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย คือ อุตสาหกรรมใหม่ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน อุตสาหกรรมสีขาวและสีเขียว มีโครงการลงทุนเกือบ 2,000 โครงการ คิดเป็นมูลค่ากว่า 720,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 40% จากปีก่อน และสูงสุดในรอบ 10 ปี
ตัวเลขดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า แม้ในภาวะวิกฤต ก็ยังมีโอกาส ประเทศไทยมีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรม Smart Electric รถ EV ชิ้นส่วนยานยนต์ BCG ฯลฯ โดยประเทศที่ลงทุนในไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง ไต้หวัน และญี่ปุ่น ตามลำดับ ส่วนอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล ยานยนต์และชิ้นส่วน เกษตร อุตสาหกรรมแปรรูป ปิโตรเคมี และการท่องเที่ยว
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มอุตสาหกรรมดั้งเดิม 40 กว่ากลุ่ม ให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งเป็นการซื้อเวลา แต่ไม่ได้หมายความว่า อุตสาหกรรมเหล่านี้จะอยู่รอด หากไม่เร่งปรับตัว ก็อาจจะถูกดิสรัปชั่น สภาอุตสาหกรรมฯ มุ่งมั่นที่จะนำพาอุตสาหกรรมไทย ก้าวสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต พร้อมรับมือกับความท้าทาย และคว้าโอกาสในเวทีโลก
ความยั่งยืน ภารกิจร่วมกันเพื่ออนาคต
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีสถาบันและหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนด้านความยั่งยืนและ BCG โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเดิม ที่มีปัญหาการจัดการขยะ เราจำเป็นต้องยกระดับการจัดเก็บขยะ และนำขยะหรือกากอุตสาหกรรมกลับมาใช้ประโยชน์ (Recycle หรือ Upcycling) ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ได้ประโยชน์สองต่อ คือ ลดขยะ และสร้างอุตสาหกรรมใหม่
สภาอุตสาหกรรมฯ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 4 หน่วยงาน ได้แก่
1.สถาบันน้ำและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน
2.สถาบันการบรรจุภัณฑ์เพื่อรีไซเคิลและสิ่งแวดล้อม
3.สถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม
4.สถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โลกกำลังอยู่ในภาวะผันผวน เราต้องเตรียมรับมือกับผลกระทบระยะสั้น และปรับตัวในระยะยาว การเปลี่ยนผ่านประเทศสู่ความยั่งยืน เป็นสิ่งสำคัญ เราต้องร่วมมือกันดูแลโลก เพื่ออนุชนรุ่นหลัง มิฉะนั้น เราจะต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่เกินกำลังมนุษย์จะควบคุมได้ สภาอุตสาหกรรมฯ และประเทศไทย มุ่งมั่นที่จะเดินหน้าตามแผนงาน เพื่อสร้างเศรษฐกิจ พัฒนาคุณภาพชีวิต และรักษาโลก ให้อยู่กับลูกหลาน อย่างยั่งยืน
ร่วมแรงร่วมใจ สู่ความยั่งยืนของอุตสาหกรรมไทย
ปาฐกถา ของท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในงาน SPOTLIGHT DAY 2024 ได้ให้ข้อคิดที่สำคัญยิ่ง เกี่ยวกับ "ความยั่งยืน" ซึ่งมิใช่เพียงกระแสชั่วคราว หากแต่เป็นพันธกิจเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนพึงร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้เท่าทันกระแสโลก ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี วิกฤตการณ์โควิด-19 สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า และที่สำคัญยิ่งคือ ภาวะโลกรวน ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
โลกยุคปัจจุบันกำหนดกติกาใหม่ เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก กลไก CBAM ภาษีคาร์บอน และการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งล้วนเป็นบททดสอบที่ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัว พร้อมรับมือกับการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า ข้อได้เปรียบทางการค้า และทรัพยากรแรงงานจำนวนมาก
อย่างไรก็ดี ในวิกฤตย่อมมีโอกาส ประเทศไทยมีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น อุตสาหกรรมสีขาว สีเขียว BCG ซึ่งเป็นโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่ม และพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการเข้าสู่ตลาดคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน
ทั้งนี้ ความยั่งยืนมิใช่เพียงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่ต้องพิจารณาถึงเศรษฐกิจควบคู่กันไป ภาครัฐพึงมีนโยบายที่ชัดเจน เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ภาคเอกชนต้องปรับตัว ลงทุนในเทคโนโลยี พัฒนานวัตกรรม และทรัพยากรบุคคล เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน ขณะที่ภาคประชาชนต้องตระหนัก มีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ท้ายที่สุด การเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน คือ พันธกิจร่วมกันของทุกภาคส่วน เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมไทย และประเทศชาติ ด้วยความร่วมมือร่วมใจ ความยั่งยืนย่อมมิใช่เป้าหมายที่ไกลเกินเอื้อม