เข้าสู่ช่วงเทศกาลคริสต์มาสกันแล้ว นับเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยแสงไฟ อากาศเย็นสบาย และเสียงเพลงที่สร้างบรรยากาศให้อบอุ่นหัวใจ และแน่นอนว่าเพลงแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึงคงหนีไม่พ้นกับบทเพลงคลาสสิกอย่าง “All I Want for Christmas Is You” ของ Mariah Carey อย่างแน่นอน
เพลงนี้เปิดตัวครั้งแรกในปี 1994 โดยเป็นส่วนหนึ่งของอัลบั้ม Merry Christmas อัลบั้มคริสต์มาสชุดแรกของ Mariah Carey ซึ่งเธอได้ร่วมแต่งเพลงนี้กับโปรดิวเซอร์คู่ใจอย่าง Walter Afanasieff พวกเขาเริ่มแต่งเพลงนี้กันที่บ้านของ Mariah ในย่านชนบทของนิวยอร์ก โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงคริสต์มาสคลาสสิกในยุค 1960s และว่ากันว่าพวกเขาใช้เวลาแต่งเพลงนี้เพียง 15 นาทีเท่านั้น ตั้งแต่นั้นบทเพลง “All I Want for Christmas Is You” ก็ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นหนึ่งในเพลงคริสต์มาสที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยยอดขายทั่วโลกที่มากกว่า 16 ล้านชุด ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในเพลงคริสต์มาสที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์
และเมื่อยุคดิจิทัลเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา เพลงนี้ก็ได้รับความนิยมในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะบน Spotify ที่ในปี 2023 เพลงนี้มียอดสตรีมมิ่งเกินกว่า 1 พันล้านครั้ง
ทั้งคู่ตั้งใจให้เพลงนี้เพื่อถ่ายทอดบรรยากาศแห่งความสุข สดใส และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของแห่งเทศกาล โดยผสมผสานความรื่นเริงแบบวินเทจ เสียงระฆัง และจังหวะสนุก ๆ ที่ทำให้ผู้ฟังทุกเพศทุกวัยหลงรัก เพลงนี้จึงไม่ใช่แค่เพลงคริสต์มาส แต่กลายเป็นตัวแทนแห่งเทศกาลที่ใคร ๆ ก็ต้องเปิดฟังเมื่อเข้าสู่ช่วงเทศกาลคริสต์มาสไปแล้ว
โดยจากรายงาน New York Post ได้ประมาณการว่า Mariah Carey ทำเงินได้ประมาณ 3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ/ปี จากเพลงนี้ในปี 2021 และคาดการณ์ว่าเธออาจทํารายได้มากกว่า 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากเพลง “All I Want for Christmas Is You” ตั้งแต่เปิดตัวในปี 1994
ขณะเดียวกันเพลงที่โด่งดังไม่แพ้กันอย่างเพลง Last Christmas ของ Wham! ที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1984 และมียอดขายรวมทั่วโลกมากกว่า 50 ล้านชุด และยังคงได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 2023 เพลงนี้มียอดสตรีมมิ่งสูงถึง 13.3 ล้านครั้งภายในสัปดาห์เดียว โดยรายงานจาก National World ได้ประมาณการว่าเพลงนี้ได้รับรายได้ประมาณ 600,000 เหรียญสหรัฐฯ/ปี
Brenda Lee’s Rockin’ Around the Christmas Tree ของ Brenda Lee ที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1958 Billboard ประมาณการว่าเพลงนี้อาจทำรายได้ถึง 2.3 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี นับเป็นอีกหนึ่งเพลงที่ใครหลาย ๆ คนต้องเปิดฟังในเทศกาลคริสต์มาสอย่างแน่นอน โดยในปี 2023 เพลงของ Brenda Lee ได้ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard ในรอบ 65 ปี แม้จะอยู่อันดับ 1 ได้เป็นเวลาสั้น ๆ แต่เพลงนี้ก็ได้รับความนิยมในเทศกาลคริสต์มาสจริง
“All I Want for Christmas Is You” กับความสำเร็จระดับตำนาน
เพลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงบทเพลงสำหรับเทศกาล แต่ยังสร้างสถิติที่น่าทึ่ง นับตั้งแต่เปิดตัว และในปี 2019 ก็ได้ขึ้นครอง อันดับ 1 บนชาร์ต Billboard Hot 100 เป็นครั้งแรก หลังผ่านไปถึง 25 ปี และยังคงขึ้นชาร์ตทุกปีในช่วงเทศกาลคริสต์มาสมาถึงปัจจุบัน
เพลงนี้ยังได้เปลี่ยนชีวิตของ Mariah Carey จนหลายคนขนานนามว่าเธอคือ “Queen of Christmas” ด้วยรายได้มหาศาลจากยอดขาย การสตรีม ลิขสิทธิ์ในโฆษณา และการใช้ในภาพยนตร์ ซึ่งทำให้เพลงนี้กลายเป็นเหมือน ขุมทรัพย์ทางดนตรี ที่สร้างรายได้ให้กับ Mariah หลายล้านดอลลาร์ในทุกปี จนหลายคนแซวเธอว่าแค่เพลงนี้เพลงเดียวก็สามารถรับเงินบํานาญไปได้สบาย ๆ
จากบทเพลงที่ถูกแต่งขึ้นในบ้านหลังเล็ก ๆ ของ Mariah ในปี 1994 สู่บทเพลงที่กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก
“All I Want for Christmas Is You” ไม่ได้เป็นเพียงแค่บทเพลง แต่เป็นมรดกแห่งเทศกาลคริสต์มาสที่อยู่ในใจคนทั่วโลก และยังคงสร้างความสุข ความอบอุ่น และความประทับใจ มาถึงปัจจุบัน
ทำไมเพลงนี้ถึงเป็นที่รักของคนทั่วโลก?
“All I Want for Christmas Is You” ไม่ใช่แค่เพลงคริสต์มาสทั่วไป แต่เป็นเพลงที่เข้าถึงหัวใจของผู้ฟังในทุกเพศทุกวัย ด้วย ทำนองที่ติดหู และ เนื้อเพลงที่อบอุ่นจับใจ ทำให้เพลงนี้กลายเป็นบทเพลงที่คนทั้งโลกร้องตามได้ง่าย แม้จะเปิดฟังครั้งแรก เนื้อหาของเพลงที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความหมาย ถ่ายทอดความรู้สึกของความรัก ความอบอุ่น ในช่วงเทศกาลได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะท่อนฮุค “All I want for Christmas is you” ที่กลายเป็นเหมือนคำบอกรักแห่งเทศกาลคริสต์มาส
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เพลงนี้โดดเด่นคือ การผสมผสานของดนตรีที่คลาสสิกและดนตรีร่วมสมัย เสียงระฆัง เสียงคอรัส และจังหวะที่รื่นเริงสร้างบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกถึงความสุขและความตื่นเต้นของเทศกาลคริสต์มาส เสียงร้องของ Mariah Carey ที่ทรงพลังและมีเอกลักษณ์ยิ่งเสริมเสน่ห์ให้เพลงนี้โดดเด่นจากเพลงคริสต์มาสอื่น ๆ
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เพลงหนึ่งจะอยู่ในกระแสได้นานถึง 30 ปี แต่ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงความพิเศษของบทเพลง ที่ไม่ว่าจะฟังครั้งแรกหรือครั้งที่ร้อย ก็ยังคงสร้างความสุขและความอบอุ่นได้เสมอ