‘ประเทศไทย’ หนึ่งในโลเคชั่นยอดฮิตที่ภาพยนต์ต่างประเทศนิยมเลือกมาถ่ายทำ โดยในปี 2567 มีภาพยนต์มาถ่ายทำในไทยแล้วกว่า 242 เรื่อง สร้างเงินสะพัดกว่า 3,600 ล้านบาท และนี่คือความภูมิใจของคนไทยที่ได้เห็นบ้านเมืองของเราถูกเลือกเป็นโลเคชั่นถ่ายหนังระดับโลก
แต่หนึ่งในซีรีส์ที่สร้างความตื่นเต้นให้แก่ชาวไทยเป็นอย่างมากนั่นก็คือ The White Lotus ซีซั่น 3 เพราะนอกจากจะเป็นซีรีส์ดังระดับโลกของ HBO แล้ว ยังมีนักแสดงแถวหน้าของโลกมาแสดงด้วย และที่สุดของความภาคภูมิใจของคนไทยคือการที่ ‘ลิซ่า - ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า Black Pink’ ได้ร่วมแสดงและเป็นหนึ่งในตัวละครหลักอีกด้วย
ซึ่ง Minor หรือ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ตัวย่อในตลาดหุ้นไทยคือ MINT ได้เผยว่ากระแส ‘ลิซ่า’ ทําให้ยอดจองโรงแรมพุ่งขึ้นถึง 40% อานิสงส์จากซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 พร้อมดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับลักซูรี่เที่ยวประเทศไทย
นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ได้เล่าว่า ซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ที่ ‘ลิซ่า’ ได้ร่วมแสดง จะมีส่วนช่วยผลักดันโปรโมทการท่องเที่ยวไทยสู่สายตาระดับโลก และจะดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับลักซูรี่เดินทางเที่ยวไทยมากขึ้น หวังตามรอยสถานที่ที่ถ่ายทำซีรีส์
เพราะขนาดตอนที่ ซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ยังไม่ทันออกอากาศ โรงแรมในเครือ MINT ที่เป็นสถานที่ถ่ายทำถึง 4 แห่ง ก็ยังได้รับอานิสงส์เต็มๆ โดยมียอดจองโรงแรมเพิ่มขึ้นกว่า 40% และคาดว่าหลังซีรีส์ได้ออนแอร์นักท่องเที่ยวน่าจะเพิ่มขึ้นตามลำดับ
ค่าห้องแพงสุด 1 คืน สำหรับ 2 ท่าน : 71,695 บาท
Serenity Pool Villa King 103 ตารางเมตร
ค่าห้องแพงสุด 1 คืน สำหรับ 2 ท่าน : 30,147 บาท
Anantara Pool Villa 160 ตารางเมตร
ค่าห้องแพงสุด 1 คืน สำหรับ 2 ท่าน : 56,976 บาท
1 วิลล่า (ได้ทั้งหลัง) 199 ตารางเมตร
ค่าห้องแพงสุด 1 คืน สำหรับ 2 ท่าน : 24,215 บาท
ห้องลักชัวรี่สวีทวิวริมชายหาด 80 ตารางเมตร
*ทีม SPOTLIGHT ได้ค้นหาห้องพักใน Booking.com ณ ห้องที่ว่างวันที่ 20 ก.พ.-21 ก.พ.68
MINT เตรียมพร้อมก้าวสู่อีกปีที่แข็งแกร่งในปี 2568 โดยใช้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3
นอกจากนี้ MINT อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดตัวโรงแรมเชิงกลยุทธ์ในประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และซาอุดีอาระเบีย เพื่อขยายการดำเนินงานในตลาดสำคัญที่มีการเติบโตสูง ตลอดจนการเติบโตของร้านอาหารผ่านนวัตกรรมของแบรนด์ การปรับรูปแบบร้านค้าให้มีความหลากหลาย และการขยายแฟรนไชส์
ส่วนหนึ่งของแผนงานเชิงกลยุทธ์สำหรับปี 2567–2570 MINT ตั้งเป้า
ล่าสุด MINT ได้รายงานผลการดำเนินงานทางการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยในปี 2567 มีรายได้จากการรดำเนินงานของบริษัทเติบโต8 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 166,034 ล้านบาท มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 43% หรืออยู่ที่ 7,750 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรอยู่ที่อยู่ที่ 3,632 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจโรงแรมขับเคลื่อนโดยการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนและการขยายตัวของตลาด ควบคู่ไปกับผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจร้านอาหารที่ได้รับแรงหนุนจากนวัตกรรมของแบรนด์และจำนวนลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น
ธุรกิจโรงแรมของ MINT ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการเดินทางทั่วโลกและการดำเนินการเชิงกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จในตลาดสำคัญ
โดยในปี 2567 MINT ยังคงขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง โดยเปิดโรงแรมใหม่ 30 แห่งที่มีห้องพักกว่า 3,000 ห้อง ภายใต้โมเดลธุรกิจ Asset-light Model เป็นหลัก ส่งผลให้ MINT มีฐานการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในเมืองสำคัญต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป และโอเชียเนีย โดยการเปิดตัวโรงแรมครั้งสำคัญ ได้แก่ โรงแรม NH Collection Helsinki Grand Hansa ในประเทศฟินแลนด์ โรงแรม Anantara Stanley & Livingstone Victoria Falls ในประเทศซิมบับเว และ Anantara Jewel Bagh Jaipur Hotel ในรัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเป็นผู้นำของ MINT ในตลาดใหม่ๆ ที่มีอัตราการเติบโตสูง
ไมเนอร์ ฟู้ดประสบความสำเร็จในการเติบโตอย่างแข็งแกร่งอีกปี โดยมียอดขายโดยรวมทุกสาขา (TSS) ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น 8 % และสิงคโปร์มียอดขายรวมเติบโตขึ้น 12 %เป็นผลมาจากการขยายตัวของยอดขายต่อร้านเดิมและจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น
ความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนานวัตกรรมและแนวคิดที่ขับเคลื่อนโดยผู้บริโภคนำไปสู่การเปิดตัวแบรนด์และรูปแบบร้านค้าใหม่ๆ ที่ประสบความสำเร็จ เช่น ร้าน สเต็ก แอนด์ มอร์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นตัวเลือกการรับประทานอาหารระดับพรีเมียมในราคาที่เข้าถึงได้ และร้าน แบทเทอร์แคช (สิงคโปร์) ซึ่งเป็นแนวคิดร้านฟิชแอนด์ชิปส์สมัยใหม่ที่ดึงดูดผู้บริโภคในเมือง
ในขณะเดียวกัน ไมเนอร์ ฟู้ดได้เร่งการขยายธุรกิจด้วย Asset-light Model ผ่านความสำเร็จของการขายแฟรนไชส์ทรัพย์สินทางปัญญาระดับโลกที่บริษัทเป็นเจ้าของ เช่น เบนิฮานา, ซิซซ์เล่อร์ และกาก้า โดยมีการเปิดร้านเบนิฮานาที่กรุงปารีส การเปิดสาขาซิซซ์เล่อร์หลายแห่งในประเทศญี่ปุ่นและเวียดนาม และการขยายสาขาร้านกาก้าทั่วประเทศไทย
ความมุ่งมั่นของ MINT ในการรักษาวินัยทางการเงินช่วยลดภาระหนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยสามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญดังต่อไปนี้
การลดภาระหนี้สินจำนวน 1 หมื่นล้านบาท ในปี 2567 ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงิน ลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และเพิ่มศักยภาพในการสนับสนุนโครงการเติบโตที่ให้ผลตอบแทนสูง
นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม MINT แสดงความมั่นใจในแนวโน้มการเติบโตของบริษัท โดยกล่าวว่า “ผลการดำเนินงานที่เป็นประวัติการณ์ของ MINT ตอกย้ำความแข็งแกร่งของโมเดลธุรกิจและการดำเนินการเชิงกลยุทธ์ของเรา ด้วยงบแสดงฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เราพร้อมที่จะเร่งการเติบโตในปี 2568 และในอนาคต เราจะยังคงใช้ประโยชน์จากแนวโน้มการท่องเที่ยวทั่วโลก ขยายโมเดลธุรกิจ Asset-light Model และขับเคลื่อนการสร้างสรรค์นวัตกรรมในธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารของเราต่อไป เราจะมุ่งเน้นไปที่การส่งมอบผลกำไรที่ยั่งยืนและเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาวขณะที่เราขยายฐานการดำเนินงานไปทั่วโลก”
ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย