โรงงานอาวดี้ (Audi) ในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น "แหล่งกำเนิด" ของเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าของรถอาวดี้ต้องยุติการผลิตอย่างถาวรในวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้พนักงานราว 3,000 คนต้องตกงาน เป็นอีกหนึ่งสัญญาณของปัญหาผลกระทบอุตสาหกรรมยานยนต์ในยุโรปที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า
การปิดโรงงานครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนที่ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป จะมีการนำเสนอแผนปฏิบัติการเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมยานยนต์
รายงานของ Allianz Trade เตือนว่า ในด้านนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ผู้ผลิตยุโรปกำลังถูกทิ้งห่างโดยเทสลา (Tesla) จากสหรัฐฯ และผู้ผลิตจีนอย่าง บีวายดี (BYD) และจีลี่ (Geely) เนื่องจากรถยนต์ยุโรปมีต้นทุนที่สูงเกินไป
ตลาดรถยนต์ในยุโรปกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทั้งในตลาดหลักอย่างฝรั่งเศสและเยอรมนี แม้ว่ายอดขายรถยนต์ทั่วโลกจะเติบโตเกือบ 10% ในปี 2023 แต่ในปี 2024 ที่ผ่านยอดขายรถกลับชะลอตัวลงอย่างมาก โดยมียอดจดทะเบียนใหม่เพิ่มขึ้นเพียง 1.7% ทั่วโลก
เหตุผลที่ Audi ปิดโรงงานที่บรัสเซลล์
อาวดี้เป็นบริษัทในเครือของโฟล์กสวาเกน (Volkswagen) ให้เหตุผลหลายเรื่องสำหรับการปิดโรงงานในบรัสเซลส์
ข้อแรก โรงงานแห่งนี้เปลี่ยนมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2018 หลังจากดำเนินการผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปมานานกว่า 70 ปี แต่ความต้องการรถยนต์เอสยูวีไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ลดลงทั่วโลกทำให้ยอดขาย Audi Q8 e-tron ซึ่งเป็นรุ่นที่ผลิตเฉพาะในโรงงานแห่งนี้ตกต่ำ
ข้อสอง เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ดำเนินมายาวนานของโรงงาน ซึ่งเคยเป็นโรงงานของโฟล์กสวาเกนมาก่อน โดยระบุว่าต้นทุนด้านโลจิสติกส์และการผลิตอยู่ในระดับสูง
ผลกระทบต่อแรงงานและอุตสาหกรรม
พนักงานในโรงงานได้หยุดงานประท้วงเป็นเวลานานเพื่อพยายามป้องกันการปิดตัว โดยบางคนกล่าวโทษถึงการปรับตัวสู่ยานยนต์ไฟฟ้าที่ช้าเกินไปของอาวดี้และยังเลือกผลิตรถรุ่นที่มีราคาสูงเกินไปจนไม่สามารถเข้าถึงตลาดได้
ฝ่ายบริหารของอาวดี้ระบุว่า ได้จัดตั้งทีมพิเศษร่วมกับศูนย์จัดหางานในภูมิภาคเพื่อช่วยเหลือพนักงานในการหางานใหม่ โดยจะมีงานแฟร์ในเดือนเมษายน ซึ่งมีตำแหน่งงานกว่า 4,000 ตำแหน่งเปิดรับสมัคร
ปัญหาใหญ่ของรถไฟฟ้าในยุโรป อุปสงค์น้อย
ทั้งนี้สหภาพยุโรปตั้งเป้าหมายให้รถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็น 25% ของยอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ภายในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 15% ในเดือนมกราคม และกำหนดให้เลิกจำหน่ายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปใหม่ภายในปี 2035 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า
แต่อย่างไรก็ตามยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรปกลับซบเซาเนื่องจากผู้บริโภคยังลังเลที่จะเปลี่ยนมาใช้ EV ซึ่งมีต้นทุนเริ่มต้นที่สูง
ซิกริด เดอ วรีส์ (Sigrid de Vries) ผู้อำนวยการทั่วไปของสมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งยุโรป (ACEA) กล่าวว่า "เรากำลังเผชิญกับปัญหาด้านอุปสงค์ในขณะนี้" การที่ยุโรปสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาด EV ได้ถึง 15% ภายในเวลาน้อยกว่า 5 ปี ถือเป็นความสำเร็จที่ "น่าทึ่งในทุกมาตรฐาน" แต่ยังไม่เพียงพอ
"เรามีรถยนต์พร้อมขายในตลาด" เธอกล่าว "แต่ความต้องการยังคงชะลอตัว"
ในปี 2024 อาวดี้ส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าล้วนมากกว่า 164,000 คันทั่วโลก ลดลง 8% จากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของอาวดี้และคิดเป็น 40% ของยอดขายรวม กลับมียอดส่งมอบลดลงถึง 11%
ที่มา yahoo autos