ปี 2025 คือปีแห่งความท้าทายท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของทิศทางเศรษฐกิจโลก แต่มีอุตสาหกรรมใหม่ๆที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด เป็นเทรนด์ใหม่ที่น่าจับตามอง
บทความนี้ SPOTLIGHT ชวนทุกคนมาดู 5 เทรนด์ธุรกิจมาแรง ปี 2025 ธุรกิจไหนที่น่าลงทุนในยุคเศรษฐกิจผันผวน? โดยได้สรุปสาระสำคัญจากหัวข้อเสวนา Investment's Playbook 2025: Exploring Wellness, Sustainability and AI Trends จากคุณสุทธิชัย คุ้มวรชัย InnovestX ณงาน Future Trends Ahead Summit 2025
คุณสุทธิชัย ได้มองว่าในปี 2025 เทรนด์ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะมาแรงเนื่องจากปัจจุบันหลายประเทศเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย หรือ Ageing society และคนรุ่นใหม่ไม่นิยมมีลูกแต่อยากมีสุขภาพที่แข็งแรงเลยหันมาดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน
ซึ่งจากข้อมูล Global Wellness Economy Monitor 2023 พบว่ามูลค่าตลาด Wellness ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นจาก 5.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2022 เป็นราว 8.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2027 หรือเติบโตเฉลี่ยที่ 8.6% ต่อปีในช่วงปี 2022 – 2027
และหากเจาะลึกมายังมูลค่าตลาดในธุรกิจ Wellness Tourism (การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ) ที่ 4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นอันดับที่ 15 ของโลก โดยประเทศไทยมีเป้าหมายที่พัฒนาให้อยู่ที่ 1 ใน 5 อันดับแรกภายในปี 2027
คุณสุทธิชัย มองว่าประเทศไทยมีโอกาสได้รับประโยชน์จากแนวโน้มของธุรกิจ Wellness Tourism ของโลกที่มีแนวโน้มเติบโต ซึ่งประเทศไทยตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติและอุตสาหกรรมทางแพทย์ครบวงจรของโลกด้วยจุดแข็งด้านการแพทย์และการบริการ
โอกาสในการลงทุน : เป็นการลงทุนระยะยาว โดยหุ้นไทยในกลุ่มโรงพยาบาลมีความชัดเจนในเทรนด์ Wellness Tourism มากกว่าหุ้นต่างประเทศ
หุ้นที่ได้ประโยชน์ : BDMS, BH, SPA, MINOR
ตัวอย่างอุตสาหกรรมที่น่าลงทุน
คุณสุทธิชัย มองว่าในปี 2025อุตสาหกรรมยาและเทคโนโลยีการแพทย์ จะมีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดด้วยนวัตกรรม AI และตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตที่มาพร้อมกับความหวังและความท้าทาย คือ ตลาดยารักษามะเร็ง
ปัจจุบันตลาดยารักษามะเร็งทั่วโลกในปี 2023 มีมูลค่าสูงถึง 218 พันล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตถึง 320 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2030 ด้วยอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นต่อปีที่ 8.9%
โดยเราได้เริ่มเห็นบริษัทผู้ผลิตยารายใหญ่อย่าง Pfizer ไปร่วมมือกับ Amazon Web Services ในการคิดค้นยาตัวใหม่ด้วย AI แล้ว
บริษัทที่ได้ประโยชน์ : คือบริษัทที่กำลังวิจัยและพัฒนายารักษาโรคมะเร็งอย่าง Merck, Roche Holding, GSK, Pfizer, Novartis ส่วนในประเทศไทย คือ โรงพยาบาลเอกชนที่มีการเปิดโรงพยาบาลหรือศูนย์เพื่อรักษาโรคมะเร็งโดยเฉพาะ เช่น BDMS, BCH, CHG, RJH
ตัวอย่างอุตสาหกรรมที่น่าลงทุน
คุณสุทธิชัย มองว่า การเติบโตอย่างยั่งยืน ยังเป็นกระแสหลักของโลก การลดการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ เพื่อรักษาสมดุลของสภาพภูมิอากาศที่นำไปสู่ความพยายามในการออกกฎข้อบังคับเพื่อควบคุมทั้งภายในประเทศผ่านการส่งเสริมการลงทุนและการใช้พลังงานสะอาดในรูปแบบต่างๆ มาตรการลงโทษผ่านการเรียกเก็บภาษีคาร์บอน และระหว่างประเทศ เช่น การปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM)
สำหรับประเทศไทยมีแผนการพัฒนาเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า โดยเน้นพลังงานทดแทน (Renewable Energy) ที่อยู่ระดับสูง โดยแผน PDP 2024 พบว่าแผนการเพิ่มพลังงานทดแทนจะเพิ่มขึ้น 11% CAGR ในช่วง 2023 -2030 และวางเป้าหมายที่จะมีสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 50% ในระยะยาว เพื่อบรรลุเป้าหมายเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065
บริษัทที่ได้ประโยชน์ : ภาคส่วนของการสร้างคาร์บอนเครดิต เพื่อขาย และกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีโอกาสเติบโตจากความต้องการใช้พลังงานจากพลังงานหมุนเวียน
ตัวอย่างอุตสาหกรรมที่น่าลงทุน
คุณสุทธิชัย มองว่า เทรนด์โลกปัจจุบันคือการผลักดันให้บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emission) ในระดับโลกที่มีความจริงจังมากขึ้นโดยเฉพาะการขนส่ง รวมถึงการขนส่งทางอากาศทำให้ความต้องการใช้ SAF มีแนวโน้มสูงขึ้น ขณะที่การพัฒนาพลังงานสะอาดรูปแบบอื่น เช่น พลังงานไฟฟ้า หรือ ไฮโดรเจน ยังมีต้นทุนอยู่ในระดับสูง
โดยสายการบินต่างๆทั่วโลก มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสัดส่วนการใช้ SAF อย่างต่อเนื่องตามเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 แต่กำลังการผลิตยังคงเติบโตอย่างช้าๆและต้นทุนวัตถุดิบมีราคาสูง
บริษัทที่ได้ประโยชน์ : คือ BCP ซึ่งเป็นบริษัทไทยที่มีการลงทุนในธุรกิจ SAF มากที่สุดในปัจจุบัน โดยมีกำลังการผลิต 1 ล้านลิตร / วัน และมีแผนเริ่มผลิตในปี 2025
ตัวอย่างอุตสาหกรรมที่น่าลงทุน
คุณสุทธิชัย ได้เล่าว่า Data Center ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจและเติบโตสูงในประเทศไทยเป็นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา และยังคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตนั้นจะเร่งตัวขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดโลก เนื่องจากประเทศไทยมีจุดแข็งด้านความเร็วในการ Download ข้อมูลสำหรับอินเตอร์เน็ตประจำที่
ผู้ประกอบการรายใหญ่มีการประกาศแผนการลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในหลายๆมิติ ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่ตั้ง การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานและไฟฟ้า รวมถึงผู้ให้บริการสร้างและออกแบบ Data Center
บริษัทที่ได้ประโยชน์ :
ปัจจัยบวก (Positive Factors)
1. เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง แม้ว่าจะเป็นการชะลอตัวแต่เป็นแบบ Soft Landing เลยยังน่าลงทุนอยู่
2. นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของหลายประเทศ รวมถึงประเทศจีน ที่แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังไม่ได้รับการแก้ไข
3. การผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก (FED) รวมถึงการกระตุ้นดอกเบี้ย
4. นโยบายกระตุ้นของไทย ช่วยผลักดันผลประกอบการ
ปัจจัยลบ (Negative Factors)
1. นโยบายเศรษฐกิจและการเมืองของทรัมป์ สร้างความผันผวนให้แก่เศรษฐกิจโลก
2. เงินเฟ้อเริ่มลงยากขึ้น นำไปสู่อัตราดอกเบี้ยที่ลงได้ช้าหรือน้อยกว่าคาดการณ์
3. เศรษฐกิจโลกขยายตัวต่ำกว่าคาด
4. ผลตอบแทนพันธบัตรและค่าเงินผันผวน
5. ภาวะอากาศแปรปรวน
6. การเมืองในประเทศ
ตราสารหุ้น : สหรัฐฯ , จีน, เวียดนาม (มีโอกาสได้ประโยชน์จากสงครามการค้าที่ย้ายฐานผลิตจากจีน)
ตราสารหนี้ : เน้นหุ้นกู้เอกชนอายุปานกลาง
ทองคำ : ลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง