เมื่อพูดถึงการไปทำงานที่ต่างประเทศ คนไทยมักจะนึกถึงประเทศยอดฮิตอย่างออสเตรเลีย เกาหลีใต้ สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่น และมักจะตัดประเทศแถบยุโรปออกไปเป็นอันดับต้นๆ เพราะมองว่าไปยาก ต้องเก่ง โปรไฟล์ดี หรือมีเงิน ถึงจะไปอยู่ประเทศเหล่านั้นได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลายๆ คนอาจไม่รู้ คือประเทศในแถบยุโรปกำลังต้องการแรงงานจำนวนมากไปช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะประเทศพัฒนาแล้วเหล่านี้มักจะมีอัตราการเกิดต่ำ จนปัจจุบันมีคนวัยทำงานไม่พออุดตำแหน่งงานที่ว่างอยู่
นั่นก็รวมไปถึงประเทศ ‘เยอรมนี’ เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก และใหญ่ที่สุดของสหภาพยุโรป ที่ในปัจจุบันกำลังขาดแคลนแรงงานอย่างหนักจนอัตราการเติบโตของ GDP ต่ำเหลือไม่ถึง 1% และได้ออกวีซ่ามาหลากหลายรูปแบบเพื่อดึงทั้งแรงงานสายอาชีพและแรงงานทักษะสูงจากประเทศทั้งในและนอกสหภาพยุโรปเข้าไปช่วยทำงานจ่ายภาษีให้ประเทศ
ในบทความนี้ ทีม SPOTLIGHT จึงอยากชวนทุกคนไปดูกันว่า ปัจจุบันเยอรมนีเปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าไปทำงานผ่านช่องทางใด และผู้ที่อยากเข้าไปทำงานที่เยอรมนีต้องมีคุณสมบัติแบบใดบ้าง เพราะหากดูรายละเอียดจริงๆ การไปทำงานและเป็นประชากรในหนึ่งในประเทศที่มีรัฐสวัสดิการที่ดีที่สุดในโลกอย่างเยอรมนีอาจไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมก็ได้
สำหรับคนไทยทั่วไป เยอรมนีเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านวิศวกรรมและวิทยาการ เศรษฐกิจขนาดใหญ่ และระบบสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุมทุกอย่างทั้งสุขภาพ การศึกษา การว่างงาน และการเกษียณอายุ ที่ทำให้ชาวเยอรมนีเป็นหนึ่งในประชากรที่ถือได้ว่ามีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดในโลก
ทั้งนี้ นอกจากระบบสวัสดิการที่ดีเยี่ยมแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เยอรมนีเป็นประเทศที่น่าไปทำงานคือ “ความเปิดกว้าง” เพราะปัจจุบันเยอรมนีเป็นหนึ่งในประเทศที่กำลังขาดแคลนประชากรวัยทำงานอย่างหนัก จากอัตราการเกิดที่ต่ำ และการรับผู้อพยพจำนวนมากจากพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง เช่น ซีเรีย ตุรกี อัฟกานิสถาน และอิรัก เข้ามาพำนักอาศัยในประเทศ ซึ่งบางส่วนรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลทุกเดือนแต่ไม่ได้ทำงาน ทำให้เยอรมนีขาดแรงงานที่ทำงานจ่ายภาษีให้กับประเทศ
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 รัฐบาลเยอรมนี เผยว่า ปัจจุบันเยอรมนีมีตำแหน่งงานว่างถึง 700,000 ตำแหน่ง ทำให้ศักยภาพในการเติบโตของเศรษฐกิจเยอรมนีเหลือเพียง 0.7% จาก 2% ในช่วงปี 1980s และมีโอกาสที่จะตกไปเหลือ 0.5% ได้ในอนาคต หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาแรงงานขาดแคลนได้อย่างทันท่วงที
ดังนั้น การดึงดูดแรงงานต่างประเทศจึงถือเป็นวาระเร่งด่วนสำหรับเยอรมนี ซึ่งนำไปสู่การออกนโยบายและมาตรการมากมายที่เป็นประโยชน์กับผู้ที่อยากเข้าไปทำงานในเยอรมนี เช่น การลดหรือผ่อนปรนกฎเกณฑ์สำหรับการขอวีซ่าทำงานในประเทศลง หรือการลดเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำ
ดังนั้น ผู้ที่สนใจทำงานในเยอรมนี โดยเฉพาะแรงงานทักษะสูง จึงมีโอกาสได้เข้าไปทำงานในเยอรมนีสูงมาก หากผู้สนใจมีกำลังทรัพย์และเวลามากพอที่จะเรียนรู้ภาษาเยอรมันระดับพื้นฐานหรือระดับกลางเพื่อเตรียมตัวไปทำงานและใช้ชีวิตในเยอรมนีได้
ปัจจุบัน เยอรมนีกำลังขาดแคลนแรงงานทั้งแรงงานทักษะสูงที่ต้องมีประสบการณ์และวุฒิการศึกษาสูง และแรงงานสายอาชีพ ทำให้คนจากทุกระดับการศึกษามีโอกาสเข้าไปศึกษาและทำงานในเยอรมนีได้ทั้งหมด ไม่จำกัดแค่เฉพาะผู้ที่มีการศึกษาสูงเท่านั้น โดยสาขาอาชีพที่กำลังเป็นที่ต้องการสูงในเยอรมนี ได้แก่
1. งานที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมสีเขียว และความยั่งยืน (Green Jobs)
ปัจจุบัน ประเทศในแถบยุโรป รวมถึงเยอรมนี ล้วนแต่เป็นผู้นำในการคิดค้นวัตกรรมพลังงานสะอาด หรือเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน และให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านจากการใช้พลังงานฟอสซิลไปเป็นพลังงานหมุนเวียน
นโยบายของรัฐฯ ทำให้งานทักษะสูงที่เป็นที่ต้องการเป็นอันดับต้นๆ ในเยอรมนี ขณะนี้คือ ช่างฝีมือ นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และวิศวกร ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสีเขียวได้ เช่น
ทั้งนี้ สำหรับเยอรมนี งานสีเขียวไม่ได้จำกัดอยู่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงงานด้านการก่อสร้าง งานเกษตรกรรมยั่งยืนที่ใช้นวัตกรรมใหม่ๆ ในการผลิตวัตถุดิบอาหารและเลี้ยงสัตว์ ซึ่งงานบางสายสามารถเรียนเป็นสายอาชีพได้
2. งานด้านการคมนาคมขนส่ง และโลจิสติกส์
เยอรมนีเป็นประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและขนส่งที่ดีเยี่ยม โดยมีทั้ง Autobahn เครือข่ายทางด่วนคุณภาพสูงที่ครอบคลุมทั้งประเทศไปถึงออสเตรีย และระบบรถไฟ รถราง และรถบัสสาธารณะที่แน่นหนา ทำให้ภาคการคมนาคมและการขนส่งเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจของเยอรมนี
ปัจจุบัน เยอรมนีต้องการผู้ขับรถยนต์ และเครื่องยนต์มืออาชีพ ทั้งสำหรับการขนส่งมวลชน การขนส่งสินค้า และเจ้าหน้าที่ด้านโลจิสติกส์ที่ดูแลการขนส่งสินค้าทั้งการขนส่งสินค้าทางถนน ทางทะเล และทางอากาศ โดยอาชีพที่เป็นที่ต้องการก็อย่างเช่น
3. กลุ่มสายงานคอขวด (Bottleneck Professions)
‘สายงานคอขวด’ หรือที่รัฐบาลเยอรมนีเรียกว่า Bottleneck Professions คือ สายงานที่กำลังขาดแคลนแรงงานจำนวนมากในเยอรมนี ทั้งเพราะสายงานนี้เป็นงานในอุตสาหกรรมที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว เป็นสายงานใหม่ที่รัฐบาลให้ความสำคัญและกำลังปั้นให้เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ หรือเป็นสายงานที่ชาวเยอรมันไม่นิยมทำ เช่น งานบริการ และงานดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุ
จากการจำกัดความของรัฐบาลเยอรมนี สายงานคอขวดในเยอรมนีมีดังนี้
จากรายการอาชีพข้างต้นนี้ จะเห็นได้ว่าเยอรมนีขาดแคลนแรงงานในหลายสาขา ทั้งสาขาอาชีพที่ต้องใช้ความรู้ระดับสูง และสาขาอาชีพที่ต้องใช้ความรู้และประสบการณ์ในสายอาชีพ ซึ่งผู้ที่ต้องการหางานในแต่ละสาขาวิชาก็ต้องมีคุณสมบัติสำหรับขอใบอนุญาต และวีซ่าในรูปแบบที่แตกต่างกันไป
แรงงานจาก ‘ประเทศที่สาม’ หรือ แรงงานจากประเทศนอกสหภาพยุโรปและเขตเศรษฐกิจยุโรป ต้องทำตามข้อกำหนดเกี่ยวกับวีซ่า และต้องมีคุณสมบัติด้านการศึกษาและประสบการณ์ แตกต่างกันไปในแต่ละประเภทของงานที่ต้องการเข้าไปทำในเยอรมนี โดยแบ่งได้หลักๆ 5 ประเภท ดังนี้
1. วีซ่า EU Blue Card (Blaue Karte)
วีซ่า Blue Card คือ ใบอนุญาตทำงานที่ประเทศของสมาชิกสหภาพยุโรป ซึ่งออกให้สำหรับแรงงานที่มีทักษะสูงที่มาจากนอกสหภาพยุโรป (Non-EU) สามารถเข้ามาทำงานและใช้ชีวิตอย่างถูกกฏหมายในประเทศของสหภาพยุโรปได้ ซึ่งในบางรัฐจะสามารถยื่นขอสัญชาติได้เมื่อทำงานถึง 16 เดือน โดยผู้ที่สามารถขอ EU Blue Card ได้จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
ทั้งนี้ สำหรับ “ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ” (IT) ผู้สมัครสามารถขอ Blue Card ได้โดยไม่ต้องมีการศึกษาอย่างเป็นทางการ หากมีประสบการณ์การทำงานระดับสูงในอุตสาหกรรมมาไม่ต่ำกว่า 3 ปี ในช่วง 7 ปีก่อนการสมัคร และได้รับการเสนองานจากนายจ้างชาวเยอรมัน ที่มีค่าตอบแทนไม่ต่ำกว่า 41,041.80 ยูโรต่อปีแล้ว
Blue Card จะมีอายุเท่ากับสัญญาการจ้างงาน แล้วเพิ่มไปอีก 3 เดือน มีอายุสูงสุดครั้งละ 5 ปี และสามารถต่อไปได้เรื่อยๆ หากยังมีคุณสมบัติตามที่รัฐบาลกำหนด และในขณะถือ Blue Card ผู้ถือสามารถเปลี่ยนงานได้ แต่งานนั้นต้องเป็นงานในสาขาวิชาที่เรียนมา มิเช่นนั้นจะต้องเปลี่ยนวีซ่าไปเป็นวีซ่าสำหรับผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ
หลังทำงานไป 27 เดือน หรือราว 2 ปี 3 เดือน ผู้ถือ Blue Card สามารถขอใบอนุญาตตั้งถิ่นฐานระยะยาวในเยอรมนี (Settlement Permit) ซึ่งเทียบเท่ากับการเป็นประชากรเยอรมันได้ หากสอบวัดระดับภาษาเยอรมันแล้วได้อย่างน้อยระดับ A1 ตามกรอบอ้างอิงร่วมของยุโรปว่าด้วยมาตรฐานภาษาต่างประเทศหรือ GER (Gemeinsamer Europäischer Referenzrahmen) แต่หากมีความสามารถในการใช้ภาษาเยอรมันอย่างน้อยในระดับกลาง หรือสอบวัดระดับได้ระดับ B1 ขึ้นไป กระบวนการขอสัญชาติจะใช้เวลาประมาณ 21 เดือนเท่านั้น
2. วีซ่าสำหรับผู้ปฏิบัติงานมีทักษะ (Visa for Qualified Professionals)
วีซ่าสำหรับแรงงานทักษะสูง (Visa for Qualified Professionals) เป็นวีซ่าทำงานสำหรับผู้ที่จบหลักสูตรการฝึกสายอาชีพ และมีวุฒิศึกษาในสถานศึกษานอกเยอรมนีที่ต้องการเข้าไปทำงานเป็นแรงงานมีทักษะในประเทศ โดยผู้ที่สามารถขอวีซ่าสำหรับแรงงานมีทักษะได้จะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
ผู้ถือวีซ่าชนิดนี้จะมีสิทธิพำนักและทำงานในเยอรมนีได้อย่างถูกกฎหมายเป็นระยะเวลา 4 ปี หากสัญญาการจ้างงานสั้นกว่า 4 ปี ผู้ถือวีซ่าจะได้ระยะเวลาการถือวีซ่าเท่ากับระยะจ้างงานบวกไปอีก 3 เดือน และผู้ที่ถือวีซ่าประเภทนี้สามารถขอใบอนุญาตตั้งถิ่นฐานระยะยาวในเยอรมนีได้ หากทำงานในเยอรมนีติดต่อกัน 3 ปีขึ้นไป
3. วีซ่าสำหรับผู้มีประสบการณ์ทำงาน (Visa for Professionally Experienced Workers)
วีซ่าสำหรับผู้มีประสบการณ์ทำงาน (Visa for Professionally Experienced Workers) เป็นวีซ่าสำหรับแรงงานมีประสบการณ์ที่ต้องการทำงานที่ไม่ได้อยู่ภายใต้หน่วยงานกำกับดูแล และไม่ต้องมีใบอนุญาตเพื่อทำงาน (Unregulated Professions) ในเยอรมนี โดยผู้ที่สามารถขอวีซ่าประเภทนี้ได้จะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
ทั้งนี้ เช่นเดียวกับการขอ Blue Card ผู้ที่มีประสบการณ์ทำงานในด้านข้อมูล การสื่อสาร และเทคโนโลยีสารสนเทศไม่จำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาด้านนี้โดยตรง เพียงแต่ต้องมีประสบการณ์ทำงานจริง และได้รับข้อเสนอเข้าทำงานจากนายจ้างในเยอรมนีแล้ว
ผู้ที่ถือวีซ่าประเภทนี้ สามารถต่อวีซ่าไปได้เรื่อยๆ หากยังมีงานทำและมีรายได้เพียงพอใช้ชีวิตในเยอรมนี และสามารถขอใบอนุญาตตั้งถิ่นฐานระยะยาวในเยอรมนีได้ หากทำงานในเยอรมนีไปอย่างน้อยแล้ว 5 ปี
4. วีซ่าสำหรับแรงงานมีทักษะเพื่อเข้ากระบวนการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพ (Visa for Employment Within the Framework of a Recognition Partnership)
วีซ่าประเภทนี้เป็นวีซ่าสำหรับผู้ที่มีวุฒิการศึกษาในระดับอุดมศึกษาและประสบการณ์ทำงาน แต่ต้องการเข้ามาทำงานในเยอรมนีก่อนที่จะเข้ากระบวนการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพ (Recognition Procedure) จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละวิชาชีพ โดยผู้ที่ขอวีซ่าประเภทนี้ได้จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้
ผู้ที่ถือวีซ่าประเภทนี้จะสามารถทำงานในเยอรมนีได้นาน 12 เดือน และต่อได้ครั้งละ 1 ปี สูงสุด 3 ปี และสามารถทำงานพิเศษนอกเหนือจากงานหลักได้ไม่เกิน 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หากอยู่เกิน 3 ปีแล้วยังไม่ผ่านกระบวนการรับรองความสามารถจะต้องเปลี่ยนไปใช้วีซ่าประเภทอื่นเพื่ออยู่ในเยอรมนีต่อ
ทั้งนี้ หากผู้ถือวีซ่าประเภทนี้ทำงานและผ่านกระบวนการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพแล้วได้รับการรับรองความสามารถอย่างเต็มรูปแบบ (Full Recognition) จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ถือวีซ่าสามารถเปลี่ยนไปถือวีซ่าสำหรับแรงงานมีทักษะ หรือขอวีซ่า Blue Card ได้ หากยังทำงานอยู่ที่เดิมหรือได้ข้อเสนองานใหม่ แต่หากผ่านการรับรองความสามารถแล้วไม่มีงาน ผู้ถือวีซ่าจะต้องเปลี่ยนไปถือวีซ่าผู้หางาน และจะมีเวลา 12 เดือนในการหางาน
อย่างไรก็ตาม หากผ่านกระบวนการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพแล้วผู้ถือวีซ่าได้รับการรับรองบางส่วน (Partial Recognition) ซึ่งหมายความว่ามีคุณสมบัติพอทำงานได้แต่ยังขาดความเชี่ยวชาญด้านทฤษฏีและการปฏิบัติบางส่วน ผู้ถือวีซ่าจะสามารถต่อวีซ่าเพื่ออยู่ในเยอรมนีได้อีก 2 ปี เพื่อเข้ารับการฝึกอบรมที่จำเป็นเพื่อให้สามารถผ่านการรับรองอย่างเต็มรูปแบบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ เช่น การฝึกอบรมในที่ทำงาน คอร์สอบรมพิเศษด้านวิชาชีพ และคอร์สภาษาเยอรมันสำหรับการทำงาน
5. วีซ่าสำหรับการฝึกงานสายอาชีพ (Visa for Vocational Training)
การศึกษาหลักสูตรสายอาชีพ หรือที่บ้านเราเรียกว่าอาชีวะ เป็นสายงานที่รัฐบาลเยอรมนีให้ความสำคัญและสนับสนุนให้คนทั้งภายในและนอกประเทศเข้าเรียนมาก เพราะถือเป็นกลุ่มแรงงานที่เป็นกำลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญจนเรียกได้ว่าเป็น “กระดูกสันหลังของประเทศ”
ปัจจุบัน เยอรมนีมีระบบการศึกษาสายอาชีพที่เรียกว่า “Ausbildung” ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนที่จบชั้นมัธยมและไม่ศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย เข้าฝึกอบรมในหลักสูตรวิชาชีพใดวิชาชีพหนึ่ง เพื่อสร้างทักษะเลี้ยงชีพแบบ “ฟรีๆ” โดยมีให้เลือกทั้งหมด 480 หลักสูตร ใช้เวลาเรียนประมาณ 2-3 ปี และมีข้อดีคือมี “duale Ausbildung หรือ ระบบคู่” ที่ทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าเรียน และทำงานสร้างรายได้ไปพร้อมกันได้ โดยใน 1 สัปดาห์ นักเรียนอาจจะเรียนที่สถาบันการศึกษา 1 วัน และฝึกงานอีก 4 วัน
ระบบที่ทำให้ได้เรียนและทำงานไปพร้อมกันนี้ทำให้วีซ่าฝึกงานสายอาชีพเป็นวีซ่าที่ชาวต่างชาตินิยมขอเพื่อเป็นใบเบิกทางเข้าไปทำงานในเยอรมนีมากที่สุด แต่มีข้อแม้คือผู้ขอวีซ่าประเภทนี้จะต้องรู้ภาษาเยอรมันพื้นฐานเสียก่อน เพราะถ้าไม่รู้ภาษาเยอรมัน สถานศึกษาหรือที่ทำงานส่วนมากจะไม่รับพิจารณาเข้าฝึกงาน
จากข้อมูลของรัฐบาล ผู้ที่ต้องการขอวีซ่าฝึกงานสายอาชีพในเยอรมนีจะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
วีซ่าสำหรับการฝึกงานจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 2 ปี และครอบคลุมระยะเวลาการเรียนและฝึกงานเต็มหลักสูตร และผู้ถือวีซ่าประเภทนี้สามารถทำงานหารายได้เพิ่มได้อีกไม่เกิน 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และต้องเข้าเรียนหลักสูตรภาษาเยอรมันเพิ่มเติมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานในอนาคต ซึ่งจะเป็นคอร์สภาษาในสถาบันอาชีวะหรือว่าคอร์สภาษาอื่นๆ ที่มีหลักสูตรสำหรับการทำงานสายอาชีพก็ได้
หลังจากเรียนและฝึกงานเสร็จสิ้นแล้ว ผู้ถือวีซ่านี้สามารถเปลี่ยนไปถือวีซ่าหางาน ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้ถือหางานได้ใน 12 เดือน และสามารถทำงานอะไรก็ได้เพื่อหาเลี้ยงชีพไปก่อนได้งาน แต่ส่วนมากนักเรียนที่ผ่านการฝึกงานสายอาชีพจะมีงานรองรับหลังจบการศึกษาอยู่แล้วจากภาวะขาดแคลนแรงงานที่ได้อธิบายไปข้างต้น
นอกจากนี้ ผู้ที่เรียนสายอาชีพยังสามารถยื่นขอใบอนุญาตตั้งถิ่นฐานระยะยาวได้หากทำงานในประเทศเยอรมนีมาแล้ว 2 ปี
ผู้ที่ตรวจสอบแล้วพบว่าตัวเองมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้สำหรับทำงานแต่ละประเภท สามารถนัดหมายเพื่อยื่นใบสมัครและเอกสารที่กำหนดแก่สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนี เอกสารทั้งหมดที่เป็นภาษาไทยจะต้องได้รับการแปลเป็นภาษาเยอรมันโดยผู้ที่มีอนุญาต โดยพื้นฐานผู้ขอวีซ่าทำงานจะมีเอกสารและสิ่งที่จะต้องเตรียม ดังนี้
สำหรับวิชาชีพเฉพาะ เช่น พยาบาล หรือผู้ประกอบอาชีพทำอาหาร อาจมีเอกสารที่ต้องเตรียมเพิ่มสำหรับการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพเพื่อทำงานในเยอรมนีอีก ซึ่งผู้ยื่นสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเว็บไซต์ของสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนี ในหัวข้อ “วีซ่าเพื่อการพำนักระยะยาวในประเทศเยอรมนี (National Visa)” (link: https://bangkok.diplo.de/th-th/service/visa-einreise/national-visa/1353050)
จากรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าไปทำงานในเยอรมนี จะเห็นได้ว่าคุณสมบัติสำคัญที่ทุกคนต้องมีคือความรู้ภาษาเยอรมันตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับกลาง และถ้าหากไม่รู้ภาษาเยอรมันหรือมีผลการทดสอบก็แทบจะไม่มีโอกาสเลยที่จะเข้าไปทำงานในเยอรมนี
ปัจจุบัน การทดสอบภาษาเยอรมันอิงตามกรอบ CEFR ซึ่งย่อมาจาก Common European Framework of Reference for Languages หรือกรอบมาตรฐานสากลที่ใช้ในการอธิบายความสามารถทางภาษาทั้ง 4 ทักษะของยุโรป (ฟัง พูด อ่าน เขียน) แบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 ระดับใหญ่ และ 6 ระดับย่อยคือ
ในประเทศไทย ผู้สนใจสามารถสมัครสอบวัดระดับภาษาเยอรมันที่เรียกว่า Goethe-Zertifikat ได้กับสถาบันเกอเธ่ โดยแสดงบัตรประจำตัวประชาชน และลงทะเบียนสอบพร้อมชำระผ่านบริการพร้อมเพย์ หรือชำระเป็นเงินสด ในวันเวลาทำการห้องลงทะเบียนของสถาบัน หรือหากไม่สะดวกไปที่สถาบันสามารถสอบถามและทำการลงทะเบียนสอบผ่านทางอีเมล
สำหรับค่าใช้จ่าย ค่าสอบภาษาเยอรมันจะแตกต่างกันไปในแต่ละระดับ โดยหากระดับสูงมากจะยิ่งแพง ปัจจุบัน การสอบแต่ละระดับต้องใช้ค่าใช้จ่าย ดังนี้
จากข้อมูลของสถาบันเกอเธ่ ผลการสอบวัดระดับจะประกาศ อย่างช้า 3 วันทำการ (จ.–ศ.) หลังวันสอบ และผู้สอบสามารถตรวจสอบผลการสอบ โดยไปติดต่อที่ห้องลงทะเบียนของสถาบัน หรือตรวจสอบผลทางเว็บไซต์ และระบบ MeinGoethe.de โดยใช้เลขที่ผู้สอบ 6 หลักแรก ในการตรวจผลสอบ
ตามกฎระเบียบ ผลสอบ Goethe-Zertifikats ตั้งแต่ระดับ A1 ถึง C2 ไม่มีวันหมดอายุ แต่สถาบันและนายจ้างหลายแห่งมักจะรับคะแนนที่มีอายุไม่เกินสองปี
อ้างอิง: Make It In Germany, Anerkennung in Deutschland, Goethe Institut