ใครจะคิดว่าร้านไอศกรีมเล็กๆ ในซานฟรานซิสโก จะกลายมาเป็นตำนานที่ครองใจคนทั่วโลก และยิ่งกว่านั้น ประเทศไทยกลับกลายเป็นดินแดนที่สเวนเซนส์เติบโตอย่างแข็งแกร่ง จนมีสาขามากกว่าประเทศต้นกำเนิดเสียอีก เรื่องราวความเป็นมาของสเวนเซนส์ และเส้นทางกว่าจะมาถึงจุดสูงสุดในประเทศไทย เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจและเต็มไปด้วยรสชาติแห่งความสำเร็จ
บริษัทสเวนเซ่นส์ (Swensen’s) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1948 โดย เอิร์ล สเวนเซ่น (Earle Swensen) ซึ่งได้สั่งสมประสบการณ์การทำไอศกรีมระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในกองทัพเรือสหรัฐฯ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสาขาแรกตั้งอยู่บนพื้นที่ร้านไอศกรีมเดิมที่ปิดตัวลง บริเวณมุมถนน Union และ Hyde Streets ใกล้กับเส้นทางรถรางในย่าน Russian Hill ในซานฟรานซิสโก
ถึงแม้ว่ารสชาติโปรดของผู้ก่อตั้งคือวานิลลา แต่สเวนเซ่นส์ก็ได้พัฒนารสชาติไอศกรีมกว่า 150 รสชาติ ภายใต้สโลแกน "Good as Father Used to Make" หรือ "อร่อยเหมือนที่พ่อเคยทำให้กิน" โดยในช่วงแรก ร้านเน้นจำหน่ายไอศกรีมและผลิตภัณฑ์ของหวานแช่แข็งอื่นๆ (เช่น ซันเด และบานาน่าสปลิท) สำหรับซื้อกลับบ้านเป็นหลัก ต่อมา แฟรนไชส์สเวนเซ่นส์สาขาอื่นๆ ได้มีการเพิ่มพื้นที่นั่งรับประทานภายในร้าน และเพิ่มเมนูอาหารคาวประเภทต่างๆ เช่น แซนด์วิช และแฮมเบอร์เกอร์
ถอดความสำเร็จ BEARHOUSE ขายชานมไข่มุกอย่างไรให้ปัง ขยายสาขาอย่างไร ไม่ให้พัง
ในช่วงปี 1970 สเวนเซนได้ขายสิทธิ์แฟรนไชส์ร้านไอศกรีมและร้านอาหารสเวนเซนให้กับ วิลเลียม เมเยอร์ และกลุ่มนักลงทุน แต่ยังคงสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในซานฟรานซิสโก และดำเนินกิจการร้านดั้งเดิมต่อไปจนถึงปี 1994 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ภายใต้การบริหารงานของผู้บริหารชุดใหม่ บริษัทขยายสาขาไปถึง 400 สาขา ส่วนใหญ่เป็นแฟรนไชส์ในช่วงปี 1980 อย่างไรก็ตาม ธุรกิจกลับซบเซาลงในช่วงปี 1990 จนจำนวนสาขาหดลงครึ่งหนึ่ง ก่อนที่จะมีการเข้าซื้อกิจการและขยายสาขาอีกครั้ง โดยมุ่งเน้นไปที่ตลาดเอเชีย ในขณะเดียวกัน สาขาในสหรัฐอเมริกาก็ทยอยปิดตัวลงจนเหลือเพียงสามแห่ง ซึ่งรวมถึงร้านไอศกรีมดั้งเดิมในซานฟรานซิสโกและร้านอาหารหลักในไมอามี ในปี 2022 สาขาแฟรนไชส์สุดท้ายในสหรัฐฯ ซึ่งตั้งอยู่ใน Coral Gables รัฐฟลอริดา ได้ปิดตัวลงหลังจากดำเนินกิจการมา 44 ปี ส่งผลให้ร้านในซานฟรานซิสโกเป็นร้านสเวนเซนส์แห่งสุดท้ายในสหรัฐอเมริกา
สาเหตุที่ สเวนเซนส์ ในสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาหลายอย่างที่นำไปสู่การปิดสาขาจำนวนมาก จนเหลือเพียงสาขาเดียวในซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นสาขาแรกเริ่มของแบรนด์ สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้สเวนเซนส์ปิดตัวลงในสหรัฐอเมริกา อาทิ
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้สเวนเซนส์ต้องปิดสาขาในสหรัฐฯ ลงเรื่อย ๆ จนเหลือเพียงสาขาเดียวที่ซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นสาขาที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และยังคงได้รับความนิยมจากลูกค้า
ปัจจุบัน บริษัท International Franchise Inc. (IFI) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ Markham รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา เป็นผู้ถือสิทธิ์ในการดำเนินธุรกิจร้านไอศกรีมสเวนเซ่นส์ทั่วโลก โดยได้เข้าซื้อกิจการจาก CoolBrands International บริษัทผู้ผลิตอาหารแช่แข็งรายใหญ่ในปี พ.ศ. 2549 นอกจากสเวนเซ่นส์แล้ว IFI ยังเป็นเจ้าของแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มชั้นนำอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ Yogen Früz, I Can't Believe It's Yogurt (ICBY), Golden Swirl, Yogurty's, Dreamery และ Bresler's Ice Cream ซึ่งล้วนแต่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในระดับสากล
ปัจจุบัน เครือข่ายร้านไอศกรีมสเวนเซ่นส์มีสาขามากกว่า 400 แห่งทั่วโลก ครอบคลุมภูมิภาคสำคัญๆ ได้แก่ เอเชีย ตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ อินเดีย ไต้หวัน สิงคโปร์ กัมพูชา มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ไทย ลาว และปากีสถาน สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการขยายธุรกิจและสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ
สำหรับ ร้านไอศกรีมสเวนเซนส์ในซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นร้านสุดท้ายที่ยังคงเหลืออยู่ในสหรัฐอเมริกา ร้านนี้มีประวัติยาวนานกว่า 7 ทศวรรษ และยังคงรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ได้อย่างดี โดย Campana เจ้าของร้านคนปัจจุบัน ได้รับช่วงต่อจาก Earle Swensen ผู้ก่อตั้ง และดูแลร้านมาตั้งแต่ปี 1964 จนถึงช่วงก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 เมื่อร้านต้องปิดตัวลงชั่วคราว Campana ก็กังวลว่าจะไม่สามารถกลับมาเปิดร้านได้อีกเนื่องจากอายุมากแล้ว จึงตัดสินใจขายร้านให้กับลูกสาวและลูกเขยของเขา
ลูกสาวและลูกเขยของ Campana ได้เข้ามาบริหารร้านต่อ และปรับปรุงร้านให้ทันสมัยขึ้น เช่น เพิ่มเครื่องรับบัตรเครดิต และเข้าร่วมบริการส่งอาหารออนไลน์ นอกจากนี้ พวกเขายังคงรักษาสูตรไอศกรีมดั้งเดิมของสเวนเซนส์ไว้ และผลิตไอศกรีมสดใหม่ทุกวันภายในร้าน สำหรับร้านสเวนเซนส์ในซานฟรานซิสโกไม่เพียงแต่เป็นร้านไอศกรีมที่อร่อย แต่ยังเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำสำหรับคนในท้องถิ่นอีกด้วย ลูกค้าหลายคนมีความผูกพันกับร้านนี้มาตั้งแต่เด็ก และยังคงกลับมาเยี่ยมเยือนอยู่เสมอ และแม้ว่าสเวนเซนส์จะเคยขยายสาขาเป็นแฟรนไชส์ไปทั่วสหรัฐอเมริกา แต่ปัจจุบันเหลือเพียงสาขาเดียวในซานฟรานซิสโกเท่านั้น เนื่องจากการบริหารงานที่ผิดพลาดของบริษัทแม่ ซึ่งบังคับให้แฟรนไชส์ซื้อไอศกรีมจากโรงงานแทนที่จะทำเอง ทำให้แฟรนไชส์หลายแห่งต้องปิดตัวลง อย่างไรก็ตาม ร้านสเวนเซนส์ในซานฟรานซิสโกยังคงอยู่รอดมาได้ และยังคงเป็นที่รักของลูกค้า ด้วยรสชาติไอศกรีมที่อร่อย และบรรยากาศที่อบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน
สเวนเซนส์ได้เข้ามาสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมไอศกรีมของประเทศไทย นับตั้งแต่การเปิดสาขาแรก ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว ในปี พ.ศ. 2529 ภายใต้การบริหารงานของบริษัท ไมเนอร์ ฟู้ดส์ ไอศกรีมสัญชาติอเมริกันแบรนด์นี้ได้กลายเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคชาวไทยทุกกลุ่ม โดยในปี 2529 ไมเนอร์ ฟู้ดได้รับสิทธิแฟรนไชส์ในการดำเนินงานแบรนด์สเวนเซ่นส์ใน 32 ประเทศครอบคลุมภูมิภาคเอเชีย และตะวันออกกลาง
เพื่อนำเสนอประสบการณ์ซันเดย์ พร้อมบริการที่ยอดเยี่ยมบนพื้นฐาน Good Quality Good Service และ Value for Money โดยปัจจุบันเปิดสาขาสเวนเซ่นส์แล้วมากกว่า 340 สาขาใน 5 ประเทศ นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นตลาดหลักที่สร้างรายได้สำคัญให้กับสเวนเซนส์ ด้วยจำนวนสาขากว่า 300 แห่งทั่วประเทศ
ความสำเร็จดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน หากแต่เป็นผลมาจากกลยุทธ์ที่โดดเด่นและแตกต่างของสเวนเซนส์ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์เมนูที่แปลกใหม่และไม่เหมือนใคร อาทิ ไอศกรีมรสทุเรียน ไอศกรีมข้าวเหนียวมะม่วง หรือแม้กระทั่งไอศกรีมไก่ทอดที่เคยสร้างกระแสในโลกออนไลน์ รวมถึงการออกแบบร้านในรูปแบบใหม่ๆ เช่น ร้านที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงที่สามย่านมิตรทาวน์ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้สเวนเซนส์ยังคงความทันสมัยและเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจของผู้บริโภคชาวไทยมาอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าตลาดของหวานและไอศกรีมจะมีการแข่งขันที่สูง แต่สเวนเซนส์ก็ยังสามารถรักษาความเป็นผู้นำในตลาดได้อย่างมั่นคง ด้วยการยึดมั่นในคุณภาพของวัตถุดิบ การบริการที่เป็นเลิศ และการสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับลูกค้า สเวนเซนส์จึงไม่ได้เป็นเพียงร้านไอศกรีม แต่ยังเป็นสถานที่ที่มอบความสุขและความทรงจำดีๆ ให้กับทุกคนในครอบครัว
ใครจะคิดว่า จากร้านไอศกรีมเล็กๆ ในซานฟรานซิสโก สู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก และที่สำคัญที่สุด ในวันนี้ สเวนเซนส์ เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนไทย สเวนเซนส์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า รสชาติที่อร่อย บรรยากาศที่อบอุ่น และการไม่หยุดพัฒนาสิ่งใหม่ๆ คือปัจจัยสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม
ที่มา sfgate, swensensofsf, minorfood และ swensensicecream