กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยผลสำรวจธุรกิจทำเงินสูงสุดประจำปี 2566 พบกลุ่มธุรกิจเดิมยังคงครองแชมป์ 3 อันดับแรก โดยมีกลุ่มปิโตรเลียม, เครื่องประดับ และยานยนต์ นำทัพสร้างรายได้มหาศาล อย่างไรก็ตาม รายได้ของกลุ่มปิโตรเลียมมีแนวโน้มชะลอตัวลงเล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นผลจากการเติบโตของพลังงานทางเลือกที่เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในตลาด ข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์งบการเงินของนิติบุคคลกว่า 80% ทั่วประเทศ จะเผยให้เห็นถึงภาพรวมและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันและอนาคต
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยผลการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินประจำปี 2566 พบว่า 10 อันดับธุรกิจที่มีรายได้สูงสุดยังคงเป็นกลุ่มธุรกิจเดิมจากปี 2565 โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม, เครื่องประดับ (ทั้งขายส่งและขายปลีก), ยานยนต์ (ผลิต, ชิ้นส่วน, และขาย), ธนาคาร, อสังหาริมทรัพย์, และพลังงาน (ขายปลีกและขายส่งเชื้อเพลิง) เป็นกลุ่มธุรกิจหลักที่สร้างรายได้สูงสุด อย่างไรก็ตาม รายได้ของบางกลุ่มธุรกิจ อาทิ กลุ่มปิโตรเลียมและพลังงาน มีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นผลจากการเติบโตของพลังงานทางเลือกที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า "ข้อมูลนี้ได้จากการวิเคราะห์งบการเงินของนิติบุคคลกว่า 80% ที่ปิดบัญชี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภาพรวมและแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศไทยได้อย่างชัดเจน"
อันดับที่ | ประเภทธุรกิจ | รายได้ (2566) | % เปลี่ยนแปลงจาก 2565 | รายได้ธุรกิจขนาดใหญ่ที่สุด |
% รายได้รวมจากธุรกิจขนาดใหญ่ที่สุด
|
1 | ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโรงกลั่นปิโตรเลียม | 3.84 ล้านล้านบาท | -7.50% | 3.83 ล้านล้านบาท | 99.89% |
2 | ธุรกิจขายส่งนาฬิกาและเครื่องประดับ | 3.12 ล้านล้านบาท | 13.67% | 3.09 ล้านล้านบาท | 99.01% |
3 | ธุรกิจร้านขายปลีกเครื่องประดับ | 2.39 ล้านล้านบาท | 26.42% | 1.79 ล้านล้านบาท | 74.53% |
4 | ธุรกิจผลิตรถยนต์ส่วนบุคคล | 1.56 ล้านล้านบาท | 11.57% | 1.55 ล้านล้านบาท | 99.96% |
5 | ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ สำหรับยานยนต์ | 1.55 ล้านล้านบาท | 5.05% | 1.47 ล้านล้านบาท | 94.45% |
6 | ธุรกิจขายยานยนต์ใหม่ชนิดรถนั่งส่วนบุคคลฯ | 1.45 ล้านล้านบาท | 2.33% | 1.28 ล้านล้านบาท | 88.49% |
7 | ธนาคารพาณิชย์ | 1.11 ล้านล้านบาท | 21.17% | 1.11 ล้านล้านบาท | 100% |
8 | ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ | 1.07 ล้านล้านบาท | 1.13% | 0.68 ล้านล้านบาท | 63.54% |
9 | ธุรกิจขายปลีกเชื้อเพลิงยานยนต์ในร้านเฉพาะสถานีบริการน้ำมัน | 1.02 ล้านล้านบาท | -2.38% | 0.58 ล้านล้านบาท | 56.95% |
10 | ธุรกิจขายส่งเชื้อเพลิงเหลว | 0.96 ล้านล้านบาท | -3.82% | 0.91 ล้านล้านบาท | 94.88% |
จากตารางจะเห็นได้ว่าในปี 2566 ธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมยังคงเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้สูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยมูลค่า 3.84 ล้านล้านบาท แม้ว่าจะมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อยที่ 7.50% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยธุรกิจขนาดใหญ่ยังคงเป็นผู้สร้างรายได้หลักในกลุ่มนี้ คิดเป็นสัดส่วน 99.89% ของรายได้ทั้งหมด
ด้านธุรกิจขายส่งและขายปลีกนาฬิกาและเครื่องประดับมีการเติบโตอย่างโดดเด่น ก้าวขึ้นสู่อันดับที่สองและสามตามลำดับ ด้วยมูลค่ารายได้ 3.12 ล้านล้านบาทและ 2.39 ล้านล้านบาทตามลำดับ ซึ่งเพิ่มขึ้น 13.67% และ 26.42% ตามลำดับเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยการเติบโตนี้เป็นผลมาจากความต้องการทองคำที่เพิ่มขึ้น
กลุ่มธุรกิจยานยนต์ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยครองอันดับที่สี่ถึงหก ธุรกิจผลิตรถยนต์ส่วนบุคคลมีรายได้ 1.56 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.57% ตามมาด้วยธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมสำหรับยานยนต์ที่ 1.55 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.05% และธุรกิจขายยานยนต์ใหม่ชนิดรถนั่งส่วนบุคคลที่ 1.45 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.33%
ธุรกิจธนาคารพาณิชย์มีการเติบโตอย่างโดดเด่นด้วยรายได้ 1.11 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.17% ขึ้นสู่อันดับที่เจ็ด ในขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีรายได้ 1.07 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.13% อยู่ในอันดับที่แปด แม้ว่าจะมีกระแสรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาในตลาด แต่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงยังคงสร้างรายได้สูง โดยอยู่ในอันดับที่เก้าและสิบ ธุรกิจขายปลีกเชื้อเพลิงยานยนต์ในร้านเฉพาะสถานีบริการน้ำมันมีรายได้ 1.02 ล้านล้านบาท ลดลงเล็กน้อยที่ 2.38% และธุรกิจขายส่งเชื้อเพลิงเหลวมีรายได้ 0.96 ล้านล้านบาท ลดลง 3.82%
จะเห็นได้ว่าธุรกิจขนาดใหญ่ยังคงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเป็นผู้สร้างรายได้หลักในเกือบทุกกลุ่มธุรกิจ
อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าสรุปว่า "จากการวิเคราะห์ข้อมูลรายได้ของธุรกิจ 10 อันดับแรกในปี 2566 พบว่าภาพรวมของธุรกิจที่ติดอันดับยังคงสอดคล้องกับปี 2565 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 3 อันดับแรกที่ยังคงรักษาตำแหน่งไว้ได้อย่างมั่นคง รายได้ของธุรกิจส่วนใหญ่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น มีเพียงบางกลุ่มธุรกิจเท่านั้นที่มีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมและน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก และกระแสความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการใช้พลังงานที่หลากหลายมากขึ้น"
แม้ภาพรวมธุรกิจไทยในปี 2566 จะยังคงเติบโตได้ดี แต่การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคก็เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจพลังงานที่อาจได้รับผลกระทบจากการเติบโตของพลังงานทางเลือก การปรับตัวและการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต