เรามักจะได้ยินว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หุ้นไทยร่วงหนัก มาจากการขายของกองทุนนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF ที่ในปี 2568 เป็นปีแรกที่เม็ดเงิน LTF ประมาณ 2.40 แสนล้านบาท สามารถขายได้ทั้งหมด
โดยในเดือนมกราคม 2025 คาดว่ายอดขาย LTF อยู่ที่ประมาณ 19,600 ล้านบาท คิดเป็นเกินครึ่งหนึ่งของยอดขาย LTF ในปีที่ผ่านมาทั้งปีที่ 36,800 ล้านบาท แรงขาย LTF อาจไม่ใช่ทั้งหมดของการร่วงลงของหุ้นไทย
เพราะตลาดหุ้นไทยเต็มไปด้วยปัจจัยกดดัน ทั้งตลาดหุ้นทั่วโลกที่กังวลกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ประเด็นสงครามการค้าในยุคทรัมป์ 2.0 ที่ได้เปิดฉากขึ้นแล้ว ความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยเองที่ถูกกระทบมาตั้งแต่ปีก่อนๆ บวกกับภาพเศรษฐกิจไทยที่ชะลอส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน หุ้นไทยจึงไหลลงหลุด 1,200 จุดในช่วงที่ผ่านมา
ทำให้รัฐบาลเตรียมหาทางกอบกู้หุ้นไทยให้กลับมา แก้เกมขาดทุน LTF ด้วยการแปลงไปอยู่ในกองทุน Thai ESG ได้ โดยกำลังสรุปให้ชัดเจนและออกเป็นมาตรการในเร็ววันนี้ SPOTLIGHT สรุปแนวคิดการแปลง LTF เป็นกองทุน ThaiESG แบบนี้
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า กองทุน LTF อาจถูกแทนที่ด้วย Thai ESG รวมถึง RMF และ SSF ที่เป็นตัวเลือกหลักในการลดภาษี
การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกมองว่าเป็นทางออกสำหรับนักลงทุนที่ขาดทุนจาก LTF โดยให้ทางเลือกในการโยกย้ายไปยังกองทุน Thai ESG แทนการขายขาดทุน โดยกองทุน Thai ESG มีเงื่อนไขการลงทุนที่แตกต่างจาก LTF คือ
ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย วิเคราะห์ว่า แม้การโยกเงินจาก LTF ไปยัง Thai ESG จะช่วยลดแรงขายในตลาดหุ้น แต่ก็อาจส่งผลให้หุ้นของบริษัทที่ไม่ผ่านเกณฑ์ ESG โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก (Small Cap) ถูกเทขาย และพลาดโอกาสได้รับเม็ดเงินลงทุนเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ผลกระทบต่อตลาดหุ้นโดยรวมจะไม่รุนแรงนัก เนื่องจากบริษัทที่ไม่ผ่าน ESG มีจำนวนมากถึง 75% ของตลาดหลักทรัพย์ แต่คิดเป็นมูลค่าเพียง 18% ของมูลค่าหลักทรัพย์ทั้งหมด ในขณะที่บริษัทที่ผ่าน ESG มีเพียง 25% ของตลาดหลักทรัพย์ แต่มีมูลค่ารวมกันกว่า 82% ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด หรือ 14.87 ล้านล้านบาท
ขณะที่คำแนะนำของนักวิเคราะห์จากหลายบล.ระบุให้ผู้ถือ LTF แล้วยังขาดทุน ควรรอความชัดเจนจากมาตรการดังกล่าวของกระทรวงการคลัง ขณะเดียวกันการขายLTF อาจยังต้องรอจังหวะให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นกว่าในระดับปัจจุบันจึงจะเป็นโอกาสของการ Cut Loss
ที่มา :ศูนย์วิจัยกสิกรไทย