การประชุมนัดแรกของคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือหรือกนง. ธนาคารแห่งประเทศไทยมีมติลดดอกเบี้ยลง 0.25% ไปสู่ระดับ 2% มีผลทันที ด้วยเหตุผลเศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าที่ประเมินไว้
เรียกว่าสร้างเซอร์ไพรซ์ให้กับตลาดหลังผลการประชุมกนง.นัดแรกของปี 2568 มีมติ 6 ต่อ1 ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.00 ต่อปี โดยให้มีผลทันที โดยมีกรรมการ 1 เสียง ที่เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้
ข้อมูลที่นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงมติการประชุม ได้ให้เหตุผลของการตัดสินใจลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ โดยเฉพาะจากภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ
รวมทั้งเศรษฐกิจมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงสนับสนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศและการท่องเที่ยวก็ตาม
การลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ เพื่อให้ภาวะการเงินสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจเงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งรองรับความเสี่ยงด้านต่ำที่ชัดเจนขึ้น
ขณะที่กรรมการ 1 ท่าน เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากให้น้ำหนักมากกว่ากับการรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงินเพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นในระยะข้างหน้า
เศรษฐกิจไทยในปี 2567 ขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้จากการระบายสินค้าคงคลังที่สูง แม้อุปสงค์ในประเทศ การท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้าขยายตัวดี มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ จากภาคการผลิตที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้านำเข้าที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ปิโตรเคมี และวัสดุก่อสร้าง ขณะที่ภาคบริการยังขยายตัวได้ ด้านอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มขยายตัวจากการบริโภคภาคเอกชน ส่วนการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวได้
จากสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีและเกษตรแปรรูปเป็นหลัก ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามภาคการผลิตที่อาจถูกกดดันต่อเนื่อง โดยเฉพาะ SMEs ที่เผชิญปัญหาความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลักต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย
แนวโน้มเงินเฟ้อของไทยต่ำแต่ยังไม่เข้าข่ายเงินฝืด
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงขอบล่างของกรอบเป้าหมายจากปัจจัยด้านอุปทานโดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบโลกที่มีแนวโน้มลดลง รวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้าง อาทิ การแข่งขันด้านราคาที่สูงจากสินค้านำเข้า โดยอัตราเงินเฟ้อที่ทรงตัวในระดับดังกล่าวไม่ได้มีสัญญาณนำไปสู่ภาวะเงินฝืดหรือภาวะที่เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง และยังมีส่วนช่วยบรรเทาค่าครองชีพและต้นทุนของผู้ประกอบการ
ด้านอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังทรงตัวในกรอบเป้าหมาย ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อมีความเสี่ยงด้านต่ำจากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลกและการอุดหนุนราคาพลังงานในประเทศ
ภาวะการเงินยังตึงตัว แม้การขยายตัวและคุณภาพของสินเชื่อในภาพรวมเริ่มมีสัญญาณทรงตัวบ้าง แต่สินเชื่อ SMEs โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างยังหดตัวต่อเนื่อง ด้านการขยายตัวของสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนใหญ่ปรับลดลง ส่วนหนึ่งจากครัวเรือนที่รายได้ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และมีภาระหนี้สูง
คณะกรรมการฯ เห็นว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ช่วยลดความตึงตัวของภาวะการเงินโดยไม่กระทบต่อความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว แต่เห็นควรให้ติดตามแนวโน้มการขยายตัวและ
คุณภาพสินเชื่อของกลุ่มเปราะบาง รวมถึงนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์ สรอ. เคลื่อนไหวผันผวนจากความไม่แน่นอนของนโยบายประเทศเศรษฐกิจหลัก คณะกรรมการฯ เห็นควรให้ติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินโลกและการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด
ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน คณะกรรมการฯ ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ประเมินในครั้งนี้ และสามารถรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าได้อย่างเหมาะสม โดยเห็นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจที่ปรับลดลงเป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้างซึ่งจำเป็นต้องใช้นโยบายเพิ่มขีดความสามารถของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมในการยกระดับศักยภาพอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการแนวโน้มเศรษฐกิจการเงินอย่างใกล้ชิด
ก่อนหน้านี้มุมมองของหลายฝ่ายต้องการเห็นการลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาล นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร อยากจะให้แบงค์ชาติพิจารณาลดดอกเบี้ยลงเพื่อเป็นการลดภาระให้กับประชาชน เช่นเดียวกับ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร ที่มองว่าการลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งออกเพราะค่าเงินอ่อนลงซึ่งจะเป็นประโยชน์กับการส่งออกของไทย
ขณะที่ก่อนหน้านี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ก็แนะนำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดอัตราดอกเบี้ยลงเพิ่มเติมอีกหนึ่งครั้งเพื่อเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจและลดภาระของผู้เป็นหนี้
ขณะที่ศูนย์วิจัยกรุงศรีมองว่ากนง.มีโอกาสลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 2% เช่นเดียวกับ UOB ที่คาดว่าปีนี้ดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับ 2% และจะคงต่อเนื่องไปตลอดปี
สำหรับการประชุมของธนาคารแห่งประเทศไทยในการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยประจำปี 2568 ครั้งถัดไปคือวันที่ 30 เมษายน ส่วนธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดจะประชุมครั้งที่สองในวันที่ 18 ถึง 19 มีนาคมนี้
ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย