ในปี 2566 ธุรกิจไทยได้แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวที่น่าสนใจ เพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์และความต้องการที่เปลี่ยนไปของคนยุคใหม่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้เปิดเผยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับ 10 ธุรกิจมาแรงที่เติบโตอย่างโดดเด่นและสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ พร้อมทั้งเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยขับเคลื่อนและแนวโน้มในอนาคตของธุรกิจเหล่านี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุนที่ต้องการเข้าใจภาพรวมของตลาดและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายและโอกาสใหม่ ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผย 10 ธุรกิจสุดฮิตประจำปี 2566 ที่มีผู้ประกอบการแห่จดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจกันอย่างคึกคัก แถมยังทำรายได้เติบโตอย่างน่าจับตา สอดรับกับเทรนด์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่/มอเตอร์และอุปกรณ์ยานยนต์ไฟฟ้า, ธุรกิจท่องเที่ยว, ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า, ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง, ธุรกิจจัดอีเวนต์, ธุรกิจ e-Commerce, ธุรกิจเครื่องสำอาง, ธุรกิจสุขภาพ, ธุรกิจของเล่น และธุรกิจเกี่ยวกับความเชื่อและศรัทธา โดยทุกธุรกิจมีรายได้เพิ่มขึ้นจากปี 2565 โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวที่โตแรงถึง 36.32% และธุรกิจเกี่ยวกับความเชื่อและศรัทธาที่โตถึง 52.92%
นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจที่น่าจับตามอง ได้แก่ ธุรกิจผลิตน้ำมันถั่วเหลือง, ธุรกิจเหมืองเกลือแร่สินเธาว์, ธุรกิจรถทัวร์, ธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ และธุรกิจแผงลอย/ตลาด ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็ว
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กรมฯ ได้ติดตามสถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง และนำข้อมูลการยื่นงบการเงินประจำปี 2566 มาวิเคราะห์เชิงลึก เพื่อประเมินทิศทางและศักยภาพการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทย สำหรับ ธุรกิจติดเทรนด์ที่มีการจัดตั้งเพิ่มขึ้นและยังทำรายได้ดีติดอันดับ ดังนี้
ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ มอเตอร์และอุปกรณ์ยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงผลิตแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ครองแชมป์อันดับ 1 ธุรกิจมาแรงแห่งปี 2566 ด้วยจำนวนธุรกิจทั้งหมด 885 ราย โดยมีการจัดตั้งธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นถึง 91 ราย คิดเป็นอัตราการเติบโต 42.19% เมื่อเทียบกับปี 2565
ตลอดปี 2566 ธุรกิจนี้สามารถสร้างรายได้รวมสูงถึง 2.09 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.27% จากปี 2565 โดยธุรกิจขนาดใหญ่ (L) เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อน สร้างรายได้มากถึง 2.06 ล้านล้านบาท การเติบโตอย่างโดดเด่นนี้เป็นผลมาจากกระแสความนิยมรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ได้รับอานิสงส์ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจผลิตแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์, มอเตอร์ไฟฟ้า, แบตเตอรี่และหม้อสะสมไฟฟ้า, ธุรกิจผลิตรถยนต์ส่วนบุคคล และธุรกิจผลิตยานยนต์อื่นๆ ที่ใช้เพื่อการโดยสาร
สำหรับจังหวัดที่เป็นฐานการผลิตสำคัญและสร้างรายได้สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สมุทรปราการ 1.04 ล้านล้านบาท, ระยอง 0.30 ล้านล้านบาท และกรุงเทพมหานคร 0.29 ล้านล้านบาท
ธุรกิจท่องเที่ยวผงาดขึ้นเป็นหนึ่งในภาคธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่นในปี 2566 โดยครองอันดับ 2 ของธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งสูงสุด ด้วยจำนวนธุรกิจทั้งหมด 53,696 ราย และมีการจัดตั้งธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น 7,402 ราย คิดเป็นอัตราการเติบโต 41.69% เมื่อเทียบกับปี 2565
ในปี 2566 ธุรกิจท่องเที่ยวสามารถสร้างรายได้รวม 0.85 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 36.32% จากปี 2565 โดยปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยกว่า 28 ล้านคน (ข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อาทิ ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด, ธุรกิจนำเที่ยว, ธุรกิจขายปลีกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และธุรกิจร้านอาหาร ต่างได้รับอานิสงส์จากการเติบโตดังกล่าว
จังหวัดที่เป็นแหล่งรายได้หลักของธุรกิจท่องเที่ยว ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ซึ่งสร้างรายได้สูงสุดถึง 0.61 ล้านล้านบาท ตามมาด้วยภูเก็ต 0.06 ล้านล้านบาท และชลบุรี 0.03 ล้านล้านบาท
ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้ายังคงรักษาความแข็งแกร่งในตลาด โดยเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งสูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ในปี 2566 ด้วยจำนวนธุรกิจรวม 8,233 ราย และมีการจัดตั้งธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น 601 ราย คิดเป็นอัตราการเติบโต 3.98% เมื่อเทียบกับปี 2565
ในปี 2566 ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าสามารถสร้างรายได้รวม 0.65 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.09% หรือ 7 พันล้านบาท จากปี 2565 การเติบโตนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคต่อสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่มุ่งเน้นความสะดวกสบาย และบรรเทาผลกระทบจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ ธุรกิจผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน และธุรกิจร้านขายปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน
จังหวัดที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนรายได้ของธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ซึ่งสร้างรายได้สูงสุดถึง 0.35 ล้านล้านบาท ตามมาด้วยชลบุรี 0.08 ล้านล้านบาท และระยอง 0.04 ล้านล้านบาท
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายอาหาร อุปกรณ์ หรือการให้บริการดูแลสัตว์ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งสูงสุดเป็นอันดับที่ 4 ในปี 2566 ด้วยจำนวนธุรกิจรวม 5,009 ราย และมีการจัดตั้งธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น 785 ราย คิดเป็นอัตราการเติบโต 10.25% เมื่อเทียบกับปี 2565
ในปี 2566 ธุรกิจสัตว์เลี้ยงสามารถสร้างรายได้รวม 0.26 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 5.80% หรือ 0.01 ล้านล้านบาท จากปี 2565 การเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยหันมาให้ความสำคัญกับการเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นเพื่อนคลายเหงา รวมถึงความหลากหลายของสินค้าและบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยงได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจฟาร์มเพาะพันธุ์สัตว์, ธุรกิจอาหารสำเร็จรูปสำหรับสัตว์เลี้ยง, ธุรกิจขายส่งอาหารสัตว์, ธุรกิจจำหน่ายสัตว์เลี้ยงและอุปกรณ์ รวมไปถึงธุรกิจให้บริการดูแลสัตว์
จังหวัดที่เป็นศูนย์กลางของธุรกิจสัตว์เลี้ยงและมีรายได้สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ซึ่งสร้างรายได้ถึง 0.11 ล้านล้านบาท ตามมาด้วยสมุทรปราการ 0.03 ล้านล้านบาท และนนทบุรี 0.01 ล้านล้านบาท
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายอาหาร อุปกรณ์ หรือการให้บริการดูแลสัตว์ ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีอัตราการจดทะเบียนจัดตั้งสูงสุดในปี 2566 เป็นอันดับที่ 4 ด้วยจำนวนธุรกิจรวม 5,009 ราย และมีการจัดตั้งธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น 785 ราย คิดเป็นอัตราการเติบโต 10.25% เมื่อเทียบกับปี 2565
ในปี 2566 ธุรกิจสัตว์เลี้ยงสามารถสร้างรายได้รวม 0.26 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 5.80% หรือ 0.01 ล้านล้านบาท จากปี 2565 การเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยหันมาให้ความสำคัญกับการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากขึ้น รวมถึงความหลากหลายของสินค้าและบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยงได้อย่างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจฟาร์มเพาะพันธุ์สัตว์, ธุรกิจอาหารสำเร็จรูปสำหรับสัตว์เลี้ยง, ธุรกิจขายส่งอาหารสัตว์, ธุรกิจจำหน่ายสัตว์เลี้ยงและอุปกรณ์ รวมไปถึงธุรกิจให้บริการดูแลสัตว์
จังหวัดที่เป็นศูนย์กลางของธุรกิจสัตว์เลี้ยงและมีรายได้สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ซึ่งสร้างรายได้ถึง 0.11 ล้านล้านบาท ตามมาด้วยสมุทรปราการ 0.03 ล้านล้านบาท และนนทบุรี 0.01 ล้านล้านบาท
ธุรกิจ e-Commerce ยังคงเป็นดาวรุ่งในโลกธุรกิจไทย โดยติดอันดับ 6 ของธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งสูงสุดในปี 2566 ด้วยจำนวนธุรกิจรวม 7,962 ราย และมีการจัดตั้งธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น 1,713 ราย คิดเป็นอัตราการเติบโต 17.41% เมื่อเทียบกับปี 2565
ในปี 2566 ธุรกิจ e-Commerce สามารถสร้างรายได้รวม 0.18 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.12% หรือ 4 พันล้านบาท จากปี 2565 การเติบโตอย่างต่อเนื่องนี้เป็นผลมาจากพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยนิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เนื่องจากความสะดวกสบายในการเลือกซื้อสินค้าที่หลากหลาย และมีเวลาในการตัดสินใจซื้อมากขึ้น ธุรกิจที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มนี้คือ ธุรกิจขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต
จังหวัดที่เป็นศูนย์กลางของธุรกิจ e-Commerce และมีรายได้สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ซึ่งสร้างรายได้ถึง 0.15 ล้านล้านบาท ตามมาด้วยนนทบุรี 0.02 ล้านล้านบาท และสมุทรปราการ 2 พันล้านบาท
ธุรกิจเครื่องสำอางยังคงเป็นหนึ่งในภาคธุรกิจที่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการในประเทศไทย แม้ว่าจำนวนการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในปี 2566 จะลดลง 6.63% เมื่อเทียบกับปี 2565 แต่ก็ยังมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาดถึง 1,267 ราย ส่งผลให้มีจำนวนธุรกิจเครื่องสำอางที่จดทะเบียนในปี 2566 รวมทั้งสิ้น 10,320 ราย
ในปี 2566 ธุรกิจเครื่องสำอางสามารถสร้างรายได้รวม 0.16 ล้านล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 5.99% หรือ 9 พันล้านบาท จากปี 2565 การเติบโตดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่ผู้บริโภคยุคใหม่ให้กับการดูแลบุคลิกภาพและความงาม รวมถึงแนวโน้มการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นในตลาดเครื่องสำอาง ซึ่งผลักดันให้ผู้ผลิตต้องมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมและคุณภาพของผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ธุรกิจที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มนี้คือ ธุรกิจขายปลีกและขายส่งเครื่องสำอาง
จังหวัดที่เป็นศูนย์กลางสำคัญของธุรกิจเครื่องสำอางและมีรายได้สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ซึ่งสร้างรายได้ถึง 0.13 ล้านล้านบาท ตามมาด้วยนนทบุรี 4.3 พันล้านบาท และปทุมธานี 4 พันล้านบาท
ธุรกิจสุขภาพยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2566 โดยมีจำนวนธุรกิจจดทะเบียนจัดตั้งใหม่สูงสุดเป็นอันดับที่ 8 ด้วยจำนวนธุรกิจรวม 9,761 ราย และมีการจัดตั้งธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น 1,670 ราย คิดเป็นอัตราการเติบโต 24.91% เมื่อเทียบกับปี 2565
ในปี 2566 ธุรกิจสุขภาพสามารถสร้างรายได้รวม 70,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 17.94% หรือ 10,000 ล้านบาท จากปี 2565 การเติบโตนี้เป็นผลมาจากความตระหนักรู้ด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก หลังจากเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประชาชนหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพทั้งในด้านการป้องกันและการรักษา ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพได้รับความนิยมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทาง, คลินิกทันตกรรม, กายภาพบำบัด, ฟิตเนส และสปา
จังหวัดที่เป็นศูนย์กลางสำคัญของธุรกิจสุขภาพและมีรายได้สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ซึ่งสร้างรายได้ถึง 54,000 ล้านบาท ตามมาด้วยนนทบุรี 2,800 ล้านบาท และสมุทรปราการ 2,700 ล้านบาท
ธุรกิจของเล่นกลับมาเป็นที่จับตามองอีกครั้งในปี 2566 โดยติดอันดับ 9 ของธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่สูงสุด ด้วยจำนวนธุรกิจรวม 1,087 ราย และมีการจัดตั้งธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น 120 ราย คิดเป็นอัตราการเติบโตที่น่าสนใจถึง 69.01% เมื่อเทียบกับปี 2565
ในปี 2566 ธุรกิจของเล่นสามารถสร้างรายได้รวม 20,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.57% หรือ 300 ล้านบาท จากปี 2565 โดย "Art Toy" ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาด ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับของเล่นที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ธุรกิจผลิตตุ๊กตา, เกมและของเล่นประเภทอื่นๆ ทั้งในรูปแบบการขายส่งและขายปลีก
จังหวัดที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนรายได้ของธุรกิจของเล่น ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ซึ่งสร้างรายได้ถึง 9,000 ล้านบาท ตามมาด้วยสมุทรปราการ 3,000 ล้านบาท และสมุทรสาคร 1,600 ล้านบาท
ธุรกิจเกี่ยวกับความเชื่อและศรัทธา หรือที่เรียกกันติดปากว่า "ธุรกิจสายมู" กลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าจับตามองในปี 2566 โดยติดอันดับ 10 ของธุรกิจที่มีอัตราการจดทะเบียนจัดตั้งใหม่สูงสุด ด้วยจำนวนธุรกิจรวม 151 ราย และมีการจัดตั้งธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้น 33 ราย คิดเป็นอัตราการเติบโต 37.50% เมื่อเทียบกับปี 2565
ในปี 2566 ธุรกิจสายมูสามารถสร้างรายได้รวม 200 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 52.92% หรือ 80 ล้านบาท จากปี 2565 การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้เป็นผลมาจากความนิยมที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่หันมาให้ความสนใจและความสำคัญกับเรื่องความเชื่อและศรัทธาในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้สินค้าที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ หรือการเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ธุรกิจที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มนี้ ได้แก่ ธุรกิจดูดวง, ธุรกิจดูฮวงจุ้ย และธุรกิจกำหนดฤกษ์ยาม
จังหวัดที่เป็นศูนย์กลางของธุรกิจสายมูและมีรายได้สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ซึ่งสร้างรายได้ถึง 140 ล้านบาท ตามมาด้วยนนทบุรี 40 ล้านบาท และปทุมธานี 10 ล้านบาท
อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวเสริมว่า "10 อันดับธุรกิจที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2566 สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตที่สอดคล้องกับพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน รวมถึงมีความตระหนักรู้ด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น"
นอกจากนี้ อธิบดีฯ ยังได้กล่าวถึงกลุ่มธุรกิจที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีอัตราการเติบโตทางธุรกิจที่โดดเด่นในปี 2566 เมื่อเทียบกับปี 2565 ได้แก่ ธุรกิจผลิตน้ำมันถั่วเหลือง (9,744%), ธุรกิจเหมืองเกลือแร่สินเธาว์ (3,207%), ธุรกิจรถขนส่งผู้โดยสารทางประจำทางระหว่างกรุงเทพฯ กับจังหวัดอื่น (1,095%), ธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ (1,032%) และธุรกิจขายปลีกอาหารบนแผงลอยและตลาด (844%)
"กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะยังคงดำเนินการติดตามและวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจของประเทศไทยอย่างใกล้ชิด เพื่อนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการและนักลงทุน ให้สามารถปรับตัวและวางแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างเหมาะสมและทันต่อสถานการณ์" อธิบดีกล่าวสรุป
จากข้อมูลสถิติธุรกิจที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่และรายได้ในปี 2566 ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้เผยแพร่ สามารถวิเคราะห์แนวโน้มและโอกาสทางธุรกิจในปี 2567 ได้ดังต่อไปนี้
1.ธุรกิจเทคโนโลยีและนวัตกรรมยังคงเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญ
2. ธุรกิจสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีเป็นที่ต้องการของตลาด
3. อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
4. ธุรกิจพลังงานสะอาดและความยั่งยืนเป็นโอกาสใหม่
5. ธุรกิจอื่นๆ ที่น่าจับตามอง
สำหรับปัจจัยเสี่ยงและความท้าทายในปี 2567 เรื่อง สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอน อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย นอกจากนี้ ธุรกิจที่ได้รับความนิยมมักจะมีการแข่งขันที่สูง ผู้ประกอบการต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการแข่งขันและสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจของตนเอง
สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2567 จะยังคงมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยี สุขภาพ ความยั่งยืน และการตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคยุคใหม่ ผู้ประกอบการและนักลงทุนควรติดตามแนวโน้มเหล่านี้อย่างใกล้ชิด และปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อคว้าโอกาสทางธุรกิจในอนาคต