ในสหรัฐอเมริกา ราคาขนมขบเคี้ยวได้ปรับตัวลดลงเนื่องจากผู้บริโภคเริ่มลดการบริโภคลงหลังจากราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง Frito-Lay หน่วยธุรกิจขนมขบเคี้ยวของ PepsiCo รายงานรายได้ลดลงในไตรมาสที่ 2 ปีงบประมาณ 2567 หลังจากปรับขึ้นราคาสินค้าหลายครั้งติดต่อกัน บริษัทกำลังพิจารณาปรับลดต้นทุนและเพิ่มโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดลูกค้ากลับมา
Frito-Lay หน่วยธุรกิจขนมขบเคี้ยวของ PepsiCo รายงานรายได้ลดลงในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2567 หลังจากปรับขึ้นราคาสินค้าหลายครั้งติดต่อกัน บริษัทระบุในรายงานว่า ภาวะเงินเฟ้อที่กินเวลายาวนานหลายปีส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ทำให้ยอดขายสินค้าในหลายกลุ่ม รวมถึง ขนมขบเคี้ยวซบเซา และผู้บริโภคระมัดระวังเรื่องค่าใช้จ่ายมากขึ้น ดังนั้น บริษัทจึงกำลังพิจารณาปรับลดต้นทุนและเพิ่มโปรโมชั่นให้กับผลิตภัณฑ์ในเครือ เช่น Cheetos, Lay’s, Doritos และ Smartfood
ถึงแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลง แต่ผู้บริโภคชาวอเมริกันยังไม่ฟื้นตัวจากราคาสินค้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน เช่น ขนมขบเคี้ยว ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และแม้แต่ตัวละคร Cookie Monster ยังออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ “shrinkflation” ซึ่งหมายถึงการที่บริษัทต่างๆ ลดขนาดสินค้าลงเพื่อลดต้นทุน ผู้บริโภคจึงตอบสนองด้วยการลดปริมาณการซื้อ หรือหันไปเลือกซื้อสินค้าแบรนด์ของร้านค้าปลีก
นอกจากนี้ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผู้ค้าปลีกหลายรายได้ประกาศปรับลดราคาสินค้า ซึ่งเป็นแนวโน้มที่อาจดำเนินต่อไป เนื่องจากผู้บริโภคยังคงใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ข้อมูลจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ระบุว่า ราคาเฉลี่ยของมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบในเดือนมิถุนายน 2567 อยู่ที่ 6.56 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 5.09 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน 2563 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาดของโควิด-19
ในระหว่างการประชุมกับนักลงทุน นายรามอน ลากัวร์ตา ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ PepsiCo กล่าวว่า บริษัทได้พิจารณาถึงเวลาอันสมควรที่จะปรับลดราคาสินค้าเพื่อคืนกำไรให้กับผู้บริโภค หลังจากที่ต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่กินเวลานาน 3-4 ปี โดยสินค้าบางรายการ เช่น มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบรสธรรมชาติ หรือแผ่นแป้งข้าวโพดทอดกรอบ อาจได้รับการ "ปรับราคาใหม่" ให้มีราคาที่ถูกลง
นายลากัวร์ตากล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทจำเป็นต้องปรับราคาสินค้าบางรายการในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ Frito-Lay เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคบางกลุ่มที่กำลังประสบปัญหาทางการเงิน PepsiCo ระบุว่า บริษัทจะดำเนินกลยุทธ์เพื่อดึงดูดลูกค้าที่มองหาสินค้าราคาประหยัด ด้วยการนำเสนอสินค้าในราคาที่หลากหลายมากขึ้น ตัวอย่างเช่น การจัดชุดรวมหลายรสชาติ ซึ่งมักจะมีราคาต่อหน่วยถูกกว่า นอกจากนี้ บริษัทยังจะเพิ่มการทำตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขายในร้านค้าสำหรับสินค้าราคาประหยัดอีกด้วย
"ในสหรัฐอเมริกา มีผู้บริโภคจำนวนหนึ่งที่กำลังประสบปัญหาทางการเงิน และพวกเขาแจ้งกับเราว่าต้องการสินค้าที่มีความคุ้มค่ามากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าบางรายการในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของเรา" นายลากัวร์ตากล่าวกับนักลงทุน
ด้วยภาวะเงินเฟ้อที่ยังส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค PepsiCo จึงต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไป กลยุทธ์การปรับลดราคาและนำเสนอสินค้าที่หลากหลายมากขึ้นนี้ อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้บริษัทสามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้าใหม่ในช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ได้ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของกลยุทธ์นี้จะเป็นอย่างไร ยังคงต้องติดตามกันต่อไป
ที่มา CNN