ธุรกิจการตลาด

AWC ลงทุนซื้อโรงแรมมากสุดปี65 มูลค่าซื้อขายโรงแรมไทยปีนี้ 1.2หมื่นล.

15 ก.พ. 66
AWC ลงทุนซื้อโรงแรมมากสุดปี65 มูลค่าซื้อขายโรงแรมไทยปีนี้ 1.2หมื่นล.

การท่องเที่ยวไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัดเจนช่วงต้น ปี 2566 โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics คาดการณ์รายได้การท่องเที่ยวในปี 2566 เพิ่มขึ้น 1 ล้านล้านบาทจากปีก่อน พุ่งแตะ 2.25 ล้านล้านบาท จากตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติพุ่งแตะ 28 ล้านคน อานิสงส์ที่จีนเปิดประเทศหนุน โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ใช้จา่ยต่อทริปสูงจะมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลทางอ้อมให้การท่องเที่ยวไทยมีความคึกคักเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มจังหวัดเมืองหลักท่องเที่ยว อย่าง กทม. ชลบุรี ภูเก็ต สงขลา เชียงใหม่ 

 

สะท้อนภาพการซื้อขายโรงแรมในไทยมากขึ้น ตั้งแต่ปี 2565 มาจนถึงปี 2566 ที่คาดว่าปี 2566 จะเป็นอีกปีที่คึกคักสำหรับตลาดการลงทุนซื้อขายโรงแรมของไทย เห็นได้จากที่นักลงทุนแสดงความสนใจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งข้อมูลงานวิจัยจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ 

 

เจแอลแอล เปิดเผยว่า ปี 2565 ได้มีการซื้อขายโรงแรมที่มีคุณภาพเหมาะสำหรับการลงทุนเกิดขึ้นในประเทศไทยรวมทั้งสิ้น 14 รายการ ด้วยมูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2564 ที่มีมูลค่าการซื้อขายรวม 12,300 ล้านบาท สาเหตุเนื่องจากมีการซื้อขายบางรายการที่ดำเนินธุรกรรมเสร็จไม่ทันก่อนสิ้นปี 2565 

 

“ปี 2565 เกือบจะเป็นปีที่มูลค่าการซื้อขายโรงแรมในประเทศไทยทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์โควิด แต่เนื่องจากมีการซื้อขายบางรายการที่ถึงแม้จะทำสัญญาซื้อขายแล้ว แต่ดำเนินธุรกรรมเสร็จไม่ทันก่อนสิ้นปี ซึ่งรายการซื้อขายเหล่านี้ มีมูลค่ารวมประมาณ 4,000 ล้านบาท และจะดำเนินธุรกรรมแล้วเสร็จในช่วงหกเดือนแรกของปีนี้” นายจักรกริช กล่าว 

447534

AWC แชมป์ซื้อโรงแรมมากสุดปี65

 

นอกจากนี้ เจแอลแอล ยังระบุว่า AWC เป็นบริษัทที่ซื้อโรงแรมมากที่สุดในปีที่ผ่าน นอกเหนือจาก Grand Mercure Bangkok Windsor แล้ว บริษัทยังได้เข้าซื้อ Westin Siray Bay ที่ภูเก็ต มูลค่าราว 2,500 ล้านบาท และ dusitD2 Chiang Mai ซึ่งได้ทำการตกลงซื้อขายในปี 2564 แต่ธุรกรรมการซื้อขายเสร็จสมบูรณ์ในปี 2565

 

“แม้ปี 2565 มูลค่าการลงทุนซื้อขายโรงแรมจะปรับลดลง 10.6% จากปี 2564 แต่ยังคงนับได้ว่าเป็นอีกปีหนึ่งที่มีมูลค่าการซื้อขายสูง เมื่อเทียบกับปี 2563 ซึ่งเป็นปีแรกที่ภาคการท่องเที่ยวของไทยเริ่มได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤติการณ์โควิด โดยในปีนั้นมีการซื้อขายโรงแรมรวมมูลค่าเพียง 1,900 ล้านบาท” นายจักรกริช กล่าว

 

เมืองท่องเที่ยวหลักเนื้อหอมสุด

 

โดยเจแอลแอล ระบุว่า โรงแรมที่มีการซื้อขายในปี 2565 มากสุด คือ

  • โรงแรมในกรุงเทพฯ 
  • โรงแรมในภูเก็ต 
  • โรงแรมเกาะสมุย
  • โรงแรมเกาะพะงัน 
  • โรงแรมกระบี่ 
  • โรงแรมหัวหิน 
  • โรงแรมเชียงใหม่

261206

ทั้งนี้ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และเกาะสมุย ยังคงเป็นทำเลยังคงเป็นทำเลยอดนิยมของนักลงทุน มีมูลค่ารวมกันคิดเป็นเกือบ 70% ของมูลค่าการซื้อขายที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา โดยกรุงเทพฯ เป็นตลาดการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงสุด คิดเป็นเกือบ 40% ของมูลค่าทั้งหมด โดยมีการซื้อขายสองรายการสำคัญ คือ

  • Oakwood Studios Sukhumvit Bangkok ขายให้กับ Worldwide Hotels Pte Ltd (WWH) จากสิงคโปร์ 
  • Grand Mercure Bangkok Windsor ขายให้กับ แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) ซึ่งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย โดยเจแอลแอลเป็นตัวแทนผู้ขายสำหรับทั้งสองรายการนี้

 

สำหรับโรงแรมที่มีการซื้อขายในปี 2565 ผู้ขายทั้งหมดเป็นบริษัทหรือธุรกิจครอบครัวชาวไทย ใกล้เคียงกับในฝั่งของผู้ซื้อ ที่พบว่า 80% เป็นการซื้อโดยนักลงทุนไทย ซึ่งต่างจากปี 2564 ที่ราว 60% ของมูลค่าการซื้อขาย เป็นการซื้อโดยนักลงทุนต่างชาติ

 

ปี 66 ซื้อขายโรงแรมเพิ่มขึ้น 12,000 ล้านบาท

 

ปี 2566 นี้ เจแอลแอลคาดว่า การลงทุนซื้อขายจะมีมูลค่าปรับเพิ่มขึ้นเป็น 12,000 ล้านบาท จากการที่นักลงทุนยังคงให้ความสนใจต่อเนื่อง ขณะที่มีโรงแรมคุณภาพเหมาะสมเสนอขายในตลาด 

 

“คาดว่า ปี 2566 จะเป็นอีกปีหนึ่งที่คึกคักสำหรับตลาดการลงทุนซื้อขายโรงแรมของไทย จากการที่นักลงทุนมีการแสดงความสนใจอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการมีรายการเจรจาซื้อขายหลายรายการเกิดขึ้นในขณะนี้ ทำให้เชื่อได้ว่า มูลค่าการลงทุนซื้อขายในปีนี้จะขยับขึ้นไปถึงที่ระดับ 12,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยรายปีของมูลค่าการซื้อขายในช่วง 10 ปีระหว่างปี 2553-2562 ก่อนเกิดวิกฤติการณ์โควิด” นายจักรกริช กล่าว

 

ด้าน นายรัฐวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายบริการที่ปรึกษาและบริหารสินทรัพย์ หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า ปัจจัยที่จะเอื้อให้มีการซื้อขายโรงแรมมากขึ้นในปี 2566 คือ 

  • การที่เจ้าของโรงแรมหลายรายได้พยายามรักษาโรงแรมของตนไว้ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าของเหล่านี้บางรายกำลังพบกับความท้าทายมากขึ้น จากการที่สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ เริ่มลดนโยบายการประนอมหนี้ 
  • ภาวะที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน 
  • ภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากจีนกลับมาเปิดประเทศ

 

“ ในด้านนักลงทุน เราพบว่า ยังมีทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติที่ให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องในการเข้าซื้อโรงแรมที่มีคุณภาพเหมาะสำหรับการลงทุนในประเทศไทย โดยผลสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ที่เจแอลแอลจัดทำขึ้น แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นตลาดโรงแรมที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในเอเชียแปซิฟิก รองจากญี่ปุ่น และออสเตรเลีย+นิวซีแลนด์” นายรัฐวัฒน์ กล่าว





advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT