Dyson ยกทีม 'Dyson Supersonic' ไดร์เป่าผมตัวเทพราคาหมื่นกว่าบาท ไปตั้งสถานีบริการ 'กู้ภัยผมเปียก' ใจกลางงาน 'สงกรานต์สยามผ้าขาวม้าปล่อยจอย' เมื่อ 13 - 15 เม.ย. ที่ผ่านมา ให้ผู้คนที่เพิ่งเสร็จจากการเล่นน้ำสงกรานต์ ได้ใช้สุดยอดไดร์เป่าผมของทางแบรนด์แบบฟรีๆ เป่าผมจนแห้งสลวย แล้วกลับบ้านแบบสวยๆ หรือไปลุยต่อในอีเวนต์สงกรานต์สถานที่ถัดไป
โดยผู้ที่เข้ามาใช้บริการไดร์เป่าผม Dyson Supersonic ได้รับทั้งผมแห้ง นุ่มสลวยกลับบ้าน พร้อมได้สัมผัสประสบการณ์โดยตรงกับสินค้าของแบรนด์ และทางแบรนด์ยังมีดีลพิเศษเพื่อกระตุ้นการซื้อให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการอีกด้วย
ผลตอบรับที่ Dyson ได้กลับมาถือว่าเกินคาด ทีมการตลาด Central Marketing Group ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Dyson ในประเทศไทย เผยกับทีมงาน Spotlight ว่า ตลอดระยะเวลา 3 วันของการจัดบูธ มีผู้เข้ามาใช้บริการที่บูธกว่า 2,700 คน แต่ที่มากไปกว่านั้น คือ 'Free Marketing' บนโลกออนไลน์ ดังนี้
-บูธของ Dyson ได้เข้าถึงผู้คนบนโลกออนไลน์มากกว่า 2,000,000 คนตลอดระยะเวลา 3 วัน
-มี organic buzz (กระแสบนโลกออนไลน์แบบที่แบรนด์ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อ) ใน twitter, Facebook, Instagram & TikTok ที่ reach คนมากกว่า 2,000,000 คน
-บน Twitter เกิดการ retweet มากกว่า 63,000 ครั้ง, quote มากกว่า 400 ครั้ง
-คอมเมนต์ที่มีต่อกระแสบูธของ Dyson นี้ 99% เป็นคอมเมนต์ในแง่บวก
-ตัวอย่าง free media ที่เราได้จากการรีวิวของผู้มาร่วมงาน หรือคนที่นำเรื่องราวไปแชร์ต่อ
https://twitter.com/brightminho/status/1646468336090505218?s=46&t=S3IxztHsRObBafVx1Y4EyA
https://www.facebook.com/reel/1275764913377652/
https://www.instagram.com/p/CrGB6xdS6Q1/?igshid=YmMyMTA2M2Y%3D
https://www.tiktok.com/@nuetae/video/7222294042275515674?is_from_webapp=1
https://twitter.com/papayatop/status/1646476569458909186?s=46&t=16UXggg6rtqypeAD4hqgYQ
แม้แบรนด์ Dyson จะถือได้ว่าเป็นผู้เล่นชั้นน้ำของตลาดไดร์เป่าผม แต่ด้วยค่าตัวของสินค้าเรือธง 'Dyson Supersonic' ที่สูงกว่าผู้เล่นรายอื่น ทำให้ผู้ใช้งานอาจไม่ตัดสินใจเดินเข้าไปในช้อปเพื่อทดลองใช้สินค้า
อีกอย่างคือ เป็นการ 'เกาถูกที่คัน' เพราะ Pain point ของคนที่ตัดสินใจเดินเข้าไปลองสินค้านั้น คือคนเดินห้างที่ 'ผมไม่เปียกน้ำ' จึงไม่เคยได้ลองผลิตภัณฑ์ Dyson แบบเต็มประสิทธิภาพ
การมาออกบูธในครั้งนี้ จึงทำให้ว่าที่ลูกค้าลูกในสถานะ ‘เปียกโชก’ และพร้อมวิ่งเข้าหาผลิตภัณฑ์ของแบรนด์อย่างเต็มใจ ที่ว่าเป็นการวางกลยุทธ์ที่ถูกที่และถูกเวลาเป็นอย่างมาก
ในหนังสือ “Marketing 5.0” คัมภีร์เล่มล่าสุดของปรมาจารย์ด้านการตลาดอย่าง ‘Philip Kotler ได้พูดโมเดล 5A’S ซึ่งเป็นเส้นทางของลูกค้ายุคใหม่ ในการสัมผัสกับแบรนด์ ประกอบไปด้วย 5 สเต็ปด้วยกัน คือ
-Aware - รู้จัก : ลูกค้ารับรู้ถึงการมีอยู่ของแบรนด์ผ่านประสบการณ์ โฆษณา หรือการแนะนำจากที่ต่างๆ
-Appeal - สนใจ : ลูกค้าย่อยข้อมูลที่มีเกี่ยวกับแบรนด์ และเริ่มสนใจที่จะเริ่มเลือกแบรนด์นั้นๆ
-Ask - ถามไถ่ : ลูกค้าเกิดความอยากรู้อยากเห็น และเริ่มค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์มากยิ่งขึ้น
-Act - ลงมือ : หลังจากมีข้อมูลเพียงพอ ลูกค้าตัดสินใจใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากแบรนด์
-Advocate - บอกต่อ : ลูกค้าเริ่มจงรักภักดีต่อแบรนด์ และบอกต่อ
ซึ่งความเจ๋งของ Dyson อยู่ตรงที่แบรนด์ได้รวบรัดตัดตอน ให้ A ที่ 1-4 มาอยู่รวมกันในที่เดียว โดยอาศัยจังหวะและโอกาสทองคำอย่าง “เทศกาลสงกรานต์” ในการดึงลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการของแบรนด์ จึงเร่งให้เกิด A ที่ 5 อย่าง การบอกต่อ และทำให้ลูกค้าคนอื่นๆ สนใจ เกิดเป็นลูปของ 5A’S ของลูกค้าที่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง
ที่สำคัญ ในยุคที่ลูกค้าเริ่มเกิดความ “ด้านชา” กับโฆษณาแบบเดิมๆ และรู้ทันการจ้างอินฟลูเอนเซอร์ให้รีวิวสินค้า หรือ Influencer Marketing แล้ว การสร้างความประทับใจให้ลูกค้า และสร้างการบอกต่อแบบ Organic เป็นหนทางสำคัญที่จะทำให้แบรนด์ยึดที่นั่งในใจให้กับผู้บริโภคได้อย่างเหนียวแน่น
จากตัวอย่างข้างต้นนี้จะเห็นได้ว่า หมัดเด็ดที่ทำให้แคมเปญสุดว้าวของ Dyson ประสบความสำเร็จ คือ “การเกาให้ถูกคัน ถูกที่ และถูกเวลา” ซึ่งเกิดมาจากโจทย์ที่ว่า ทำอย่างไรให้คนวิ่งเข้าแบรนด์ และได้ใช้สินค้าในสถานการณ์ที่ใช่มากที่สุด
ลองมองหาว่าธุรกิจของคุณมี Pain Point ตรงไหนที่สกัดกั้นไม่ให้ลูกค้าสามารถเดินทางบนเส้นทาง 5A’S ได้ เช่น ลูกค้ารู้จัก แต่ยังไม่สนใจ ลูกค้าถามไถ่ แต่ยังไม่ใช้งาน หรือแม้แต่เกิดการใช้งานแล้ว แต่เก็บไว้คนเดียว ไม่บอกใคร รวมถึงโอกาสทองที่เชื้อเชิญ (หรือบังคับ) ให้ลูกค้าต้องวิ่งหาแบรนด์ คือโอกาสไหน และเอาสินค้าและบริการจากแบรนด์ไปไว้ในจุดนั้น
พร้อมกับวัดผล และติดตามผลที่เกิดขึ้นจากการทำแคมเปญ เพื่อต่อยอดองค์ความรู้ แลพัฒนาแคมเปญต่อๆ ไปให้ยิ่งโดนใจผู้บริโภคมากขึ้น เพราะผลลัพธ์ที่แบรนด์จะได้นั้น ไม่ใช่แค่การบอกต่อ ยอดขายที่เพิ่มขึ้น แต่เป็นการกลายเป็นเพื่อนที่รู้ใจ และได้รับสิทธิ์ในการ “เข้าไปนั่งในใจลูกค้า” เกิดเป็นความสัมพนธ์ระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ในระยะยาว ซึ่งมีมูลค่ามากกว่ายอดขายอันฉาบฉวยอย่างมหาศาล