ธุรกิจการตลาด

สบู่นกแก้ว ตำนานสบู่ไทย 7 ทศวรรษ เปิดเส้นทางความสำเร็จ

23 มิ.ย. 67
สบู่นกแก้ว ตำนานสบู่ไทย 7 ทศวรรษ เปิดเส้นทางความสำเร็จ

"สบู่นกแก้ว" ตำนานสบู่หอมไทยที่อยู่คู่คนไทยมายาวนานกว่า 7 ทศวรรษ ไม่ได้เป็นเพียงแค่สบู่ธรรมดา แต่เป็นแบรนด์ที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และความเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้งของผู้ก่อตั้ง จนถึงปัจจุบัน สบู่นกแก้วได้ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย และพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่สามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาคุณไปสำรวจเส้นทางความสำเร็จของสบู่นกแก้ว ตั้งแต่จุดเริ่มต้น การใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่ชาญฉลาด ไปจนถึงผลประกอบการที่แข็งแกร่งในปัจจุบัน ภายใต้แบรนด์ "พฤกษานกแก้ว" 

สบู่นกแก้ว ตำนานสบู่ไทย 7 ทศวรรษ เปิดเส้นทางความสำเร็จกำไรเฉลี่ยปี 200 ล้าน!

สบู่นกแก้ว ตำนานสบู่ไทย 7 ทศวรรษ เปิดเส้นทางความสำเร็จกำไรเฉลี่ยปี 200 ล้าน!

"สบู่นกแก้ว" ตำนานสบู่หอมไทย กำเนิดขึ้นจากวิสัยทัศน์อันเฉียบคมของคุณวอลเตอร์ เลโอ ไมเยอร์ ประธานกรรมการห้างเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ฯ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่เชี่ยวชาญด้านการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมายังประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2490 คุณไมเยอร์มองเห็นโอกาสทางธุรกิจจากพฤติกรรมการใช้สบู่ของคนไทยในยุคนั้น ที่นิยมใช้สบู่ทำความสะอาดทุกสิ่งอย่าง จึงเกิดเป็นแนวคิดในการผลิตสบู่คุณภาพสูง กลิ่นหอม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดที่ยังไม่มีใครทำมาก่อน

ห้างเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ฯ ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการนำเข้าและส่งออกสินค้า ไม่เคยมีประสบการณ์ในการผลิตสินค้ามาก่อน จึงได้ตัดสินใจครั้งสำคัญในการก่อตั้ง "บริษัท รูเบียอุตสาหกรรม จำกัด" ขึ้นในปี พ.ศ. 2494 พร้อมโรงงานผลิตสินค้าถึง 3 แห่ง เพื่อรองรับการผลิตสบู่ เครื่องสำอาง และลูกอมอย่างครบวงจร สาเหตุที่ก่อตั้งเพื่อผลิตและจัดจำหน่าย "สบู่นกแก้ว" สบู่หอมเจ้าแรกในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่ห้างเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ฯ เป็นเจ้าของและผลิตขึ้นเอง นับเป็นการบุกเบิกตลาดสบู่ที่มีแต่สบู่ทำความสะอาดทั่วไป สร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยสบู่หอมคุณภาพสูงที่ผลิตจากวัตถุดิบนำเข้า ในราคาเปิดตัวก้อนละ 1-5 บาท (ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 12-15 บาท)

ทำไมต้องชื่อ ‘นกแก้ว’

สบู่นกแก้ว ตำนานสบู่ไทย 7 ทศวรรษ เปิดเส้นทางความสำเร็จกำไรเฉลี่ยปี 200 ล้าน!

"นกแก้ว" ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อแบรนด์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งแรงบันดาลใจที่สะท้อนตัวตนของผู้ก่อตั้ง คุณวอลเตอร์ เลโอ ไมเยอร์ ผู้หลงใหลในธรรมชาติอันงดงามของเมืองไทย โดยเฉพาะ 'นกแก้วไทย' สัตว์ปีกที่มีสีสันสดใส และ 'พรรณไม้ป่า' ที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ คุณไมเยอร์จึงนำสองสิ่งนี้มาผสมผสานกัน เกิดเป็นอัตลักษณ์ของแบรนด์ "สบู่นกแก้ว" ที่สื่อถึงความสดชื่นมีชีวิตชีวา และกลิ่นหอมจากธรรมชาติ

แรงบันดาลใจนี้ได้นำไปสู่การรังสรรค์สบู่ที่มีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว คัดสรรจากพรรณไม้และดอกไม้ป่านานาชนิด จนกลายเป็นกลิ่นหอมที่คุ้นเคยและเป็นที่จดจำของคนไทย และแม้ว่าปัจจุบันสบู่นกแก้วจะมีทั้งแบบก้อนและแบบเหลว แต่กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์นี้ก็ยังคงอยู่คู่แบรนด์ ทำให้ "สบู่ก้อนเขียว" กลายเป็นชื่อเรียกติดปากที่คนไทยใช้เรียกขานสบู่นกแก้วมาอย่างยาวนาน

พรีเซนเตอร์คนแรก คือ พุ่มพวง ดวงจันทร์

สบู่นกแก้ว ตำนานสบู่ไทย 7 ทศวรรษ เปิดเส้นทางความสำเร็จกำไรเฉลี่ยปี 200 ล้าน!

พ.ศ.2514 ถือเป็นปีแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับสบู่นกแก้ว เมื่อผู้บริหารตัดสินใจเปิดตัวแคมเปญโฆษณาทางโทรทัศน์ครั้งแรก โดยเลือก "ราชินีลูกทุ่ง" พุ่มพวง ดวงจันทร์ เป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งส่งผลให้แบรนด์กลับมาได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม และสามารถสร้างยอดขายได้ถึง 25 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายใหม่ได้เกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2530 เมื่อสบู่แบรนด์ต่างประเทศเริ่มเข้ามาตีตลาดในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นสบู่ปาล์มโอลีฟจาก Colgate หรือสบู่ลักส์จาก Uniliver ทำให้เกิดกระแส "เห่อของนอก" ในหมู่ผู้บริโภค ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของสบู่นกแก้วถูกมองว่าเป็น "สบู่บ้านนอก" ที่ล้าสมัย ไม่ทันสมัย แม้ว่าในปี พ.ศ. 2539 สบู่นกแก้วจะสามารถทำรายได้สูงถึง 100 ล้านบาท แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าภาพลักษณ์ของแบรนด์ในสายตาผู้บริโภคบางส่วนได้เปลี่ยนแปลงไป

สร้างแบรนด์ในยุคที่คนไทยต้องรัดเข็มขัด

สบู่นกแก้ว ตำนานสบู่ไทย 7 ทศวรรษ เปิดเส้นทางความสำเร็จกำไรเฉลี่ยปี 200 ล้าน!

ช่วงปี พ.ศ. 2540-2542 วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคชาวไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รัฐบาลจึงได้ริเริ่มโครงการรณรงค์ให้ใช้สินค้าภายในประเทศภายใต้สโลแกน "เที่ยวเมืองไทย กินของไทย ใช้ของไทย ร่วมใจประหยัด" ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว สบู่นกแก้วได้เล็งเห็นถึงโอกาสในการเติบโต จึงได้พัฒนาแคมเปญโฆษณาที่สะท้อนความรู้สึกของผู้บริโภคชาวไทยในขณะนั้น โดยมี "โก๊ะตี๋ อารามบอย" นักแสดงตลกชื่อดังในขณะนั้นเป็นพรีเซนเตอร์ พร้อมสโลแกนที่ทรงพลังว่า "ถ้าใช้ของไทย ใครก็สั่งคุณไม่ได้ นิยมไทยใช้สบู่หอมนกแก้ว"

แคมเปญโฆษณาดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างสูง สร้างกระแสตอบรับเชิงบวกอย่างล้นหลาม และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้สบู่นกแก้วเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งในด้านยอดขายและการรับรู้แบรนด์ ในขณะที่คู่แข่งเลือกที่จะลดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขาย สบู่นกแก้วกลับเลือกที่จะปรับกลยุทธ์ด้วยการขึ้นราคา และเปลี่ยนชื่อแบรนด์เป็น "พฤกษานกแก้ว (parrot-natural)" เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่หรูหราและมีคุณค่ามากขึ้น

ความสำเร็จของสบู่นกแก้วในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการเข้าใจและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด แม้ในยามวิกฤต ก็ยังมีโอกาสสำหรับแบรนด์ที่สามารถปรับตัวและนำเสนอคุณค่าที่แตกต่างได้อย่างชัดเจน นี่คือบทเรียนอันทรงคุณค่าที่ทำให้สบู่นกแก้วสามารถครองใจผู้บริโภคชาวไทย และส่งต่อความหอมอันเป็นเอกลักษณ์มาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน

ผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปีของ บริษัท รูเบียอุตสาหกรรม จำกัด

  • ในปี 2562 รายได้ 2,041 ล้านบาท กำไร 262 ล้านบาท
  • ในปี 2563 รายได้ 2,342 ล้านบาท กำไร 342 ล้านบาท
  • ในปี 2564 รายได้ 2,029 ล้านบาท กำไร 235 ล้านบาท
  • ในปี 2565 รายได้ 1,985 ล้านบาท กำไร 107 ล้านบาท
  • ในปี 2566 รายได้ 1,921 ล้านบาท กำไร 213 ล้านบาท

ปัจจุบัน "รูเบียอุตสาหกรรม" ในฐานะบริษัทในเครือของ "เบอร์ลี่ ยุคเกอร์" ยังคงสืบทอดตำนานความหอมภายใต้ร่มเงาของตระกูลสิริวัฒนภักดี โดยได้ขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ทั้งสบู่เหลว แชมพู และสบู่ก้อนนกแก้วหลากหลายกลิ่น ส่งผลให้เครือสบู่นกแก้วสามารถสร้างรายได้รวมเฉลี่ยสูงถึง 2 พันล้านบาทต่อปี และมีกำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 200-300 ล้านบาท นับเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสำเร็จและความยั่งยืนของแบรนด์ที่ยังคงครองใจผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน

ที่มา bjcparrot-natura และ datawarehouse

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT