ธุรกิจการตลาด

จีนมาเพื่อบุก TEMU แย่งส่วนแบ่ง Amazon ยับ ส่วนยอดขาย iPhone ลดลง

2 ส.ค. 67
จีนมาเพื่อบุก TEMU แย่งส่วนแบ่ง Amazon ยับ ส่วนยอดขาย iPhone ลดลง
ไฮไลท์ Highlight

เมื่อผลประกอบการของสองบิ๊กเทคฯ ‘Amazon-Apple’ บ่งชี้ว่า ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น และเน้นซื้อสินค้าที่มีราคาถูก หรือจะซื้อเมื่อมีโปรโมชั่น ถึงแม้รายได้จากยอดขายของทั้งสองบริษัทโดยรวมเพิ่มขึ้น แต่ก็ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

โดย Amazon เผยว่า ลูกค้าของตนกำลังหันมาซื้อสินค้าที่มีราคาถูกลง ซึ่งผู้บริโภคระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น และกำลังมองหาข้อเสนอพิเศษอย่างต่อเนื่อง ทำให้ Amazon ต้องมีข้อเสนอและโปรโมชั่น เหมือนกับ Temu ของประเทศจีนที่เป็นคู่แข่งที่เข้ามาแทรกแทรงในสหรัฐอเมริกาช่วงหนึ่ง

ส่วน Apple รายงานยอดขาย iPhone ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใจจีนแผ่นดินใหญ่ เนื่องจากคนจีนหันมาใช้ Huawei, Vivo, และ OPPO มากขึ้น ซึ่งเป็นแบรนด์ท้องถิ่น ส่งผลให้ Apple ลดราคา iPhone ในจีน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

Amazon ชี้ ทั่วโลกใช้จ่ายน้อยลง

Brian Olsavsky ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน Amazon เผยว่า ผู้บริโภคยังคงระมัดระวังในการใช้จ่าย โดยมักมองหาข้อเสนอดีๆ และเน้นซื้อสินค้าที่มีราคาถูกมากขึ้น

ในขณะที่ Andy Jassy ซีอีโอ Amazon กล่าวเพิ่มเติมว่า ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ของ Amazon ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ค้าปลีกราคาประหยัดจากประเทศจีนอย่าง Temu และ Shein ซึ่งขายสินค้าหลากหลายประเภทในราคาถูกโดยตรง

แต่รายได้จากยอดขายสุทธิในไตรมาสที่ 2/2567 กลับเพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา เป็น 1.48 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 5.24 ล้านล้านบาท แม้จะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการไว้ที่เกือบ 1.49 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

- ยอดขายจากร้านค้าออนไลน์ เพิ่มขึ้น 4.6% เป็น 5.54 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

- ยอดขายจากร้านค้าที่มีหน้าร้าน เพิ่มขึ้น 3.6% เป้น 5.21 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

- ยอดขายจากผู้ค้าบุคคลที่สาม เพิ่มขึ้น 12% เป็น 3.62 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

- ยอดขายของกลุ่ม AWS เพิ่มขึ้น 19% เป็น 2.63 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

- ยอดขายของกลุ่มอเมริกาเหนือ เพิ่มขึ้น 9.1% เป็น 9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

- ยอดขายของกลุ่มต่างประเทศ เพิ่มขึ้น 6.6% เป็น 3.17 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเพิ่มขึ้น 10% หากไม่รวมการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

ในขณะที่รายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 1.47 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 5.20 แสนล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 1.35 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 4.78 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของช่วงเดียวกันปีก่อน

ถึงแม้รายได้จาก Amazon Web Services หรือ AWS มียอดขายพุ่งขึ้น แต่ Olsavsky ชี้ว่า อัตรากำไรของ AWS น่าจะเปลี่ยนไป เนื่องจากบริษัทมีการลงทุนสูงขึ้น เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกค้าต้องการเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยคาดว่าอัตรากำไรจากการดำเนินงานของ AWS จะผันผวนตามเวลา

เหมือนกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รายอื่นๆ Amazon กำลังเพิ่มรายจ่ายด้านทุนเพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนา AI โดยการใช้จ่ายในหกเดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 3.05 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

แม้ว่า Amazon จะยังไม่ได้ระบุสัดส่วนการลงทุน Generative AI ต่อยอดขาย AWS แต่ในเดือนพฤษภาคม บริษัทได้กล่าวแล้วว่าเทคโนโลยีดังกล่าว ได้เติบโตจนกลายเป็นธุรกิจที่ทำรายได้หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งความต้องการของลูกค้าสำหรับบริการ AI กำลังขยายยอดขายบนคลาวด์

ส่วนรายได้จากยอดขายโฆษณากลับพบเพิ่มขึ้น 20% เป็น 1.28 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ว่าจะน้อยว่าในไตรมาสที่ 1/2567 ที่ทำสถิติเพิ่มขึ้น 24% ก็ตาม 

แต่นักวิเคราะห์ของ JPMorgan กล่าวว่า ธุรกิจโฆษณา เป็นแหล่งรายได้ที่เติบโตเร็วที่สุดของ Amazon และยังเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูงสุดอีกด้วย

สอดคล้องกับแผนของ Amazon ในการพยายามที่จะขยายธุรกิจโฆษณา ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยโปรโมชันบนเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ และเปิดตัวแพคเก็จบนบริการสตรีมมิ่ง Prime Video แบบมีโฆษณาแล้วด้วย

ทั้งนี้ Olsavsky เตือนนักลงทุนว่า รายได้ในไตรมาสที่ 3/2567 จะเป็นไตรมาสที่คาดเดาได้ยาก เนื่องจากผู้บริโภคจะให้ความสนใจกับสิ่งอื่น เช่น การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ที่กรุงปารีส และข่าวคราวเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยเฉพาะนับตั้งแต่ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกลอบสังหาร

หุ้นของ Amazon ลดลง 1.56% เหลือเพียง 184.07 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น เนื่องจากรายได้ของบริษัทต่ำว่าที่นักวิเคราะห์คาด ทำให้มูลค่าบริษัทเหลือเพียง 1.915 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่อันดับ 5 บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก

Apple ยังเห็นการเติบโต ยกเว้นจีนแผ่นดินใหญ่

ส่วน Apple เผยรายได้ประจำไตรมาสที่ 3/2567 (เม.ย..-มิ.ย.) พบว่า เติบโตขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา เป็น 8.577 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบถึง 3.035 ล้านล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.14 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 7.57 แสนล้านบาท

ปัจจัยหลักมาจากยอดขาย iPad ที่เพิ่มขึ้น มากถึง 24% เป็น 7.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังเปิดตัว iPad Pro รุ่นใหม่ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ยอดขาย iPhone กลับลดลง 1% เป็น 3.929 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉพาะในจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และไต้หวัน ที่ยอดขายลดลง 6.5% เป็น 1.47 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น จากแบรนด์โทรศัพท์มือถือท้องถิ่นในจีน เช่น Huawei Technologies และ Vivo

นอกจากนี้  Apple เผยว่า ช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายนเป็นช่วงที่ยอดขาย iPhone ของ Apple ต่ำ เนื่องจากผู้ใช้งานบางส่วน รอการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ในเดือนกันยายน 

รวมทั้ง การวางแผนที่จะยกระดับยอดขายในจีนจาก iPhone รุ่นใหม่ ที่กำลังพูดคุยกับหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศจีนเพื่อให้ฟีเจอร์ AI ใหม่ที่กำลังพัฒนาพร้อมใช้งานเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

Tim Cook ซีอีโอ Apple กล่าวว่า บริษัทต้องเข้าใจข้อกำหนดด้านกฎระเบียบก่อนที่จะสามารถให้คำมั่นว่า จะเปิดตัวฟีเจอร์ AI ใหม่ที่นำ ChatGPT รวมเข้าไว้ภายในสิ้นปีปฏิทิน 2567 โดยฟีเจอร์ดังกล่าวจะพร้อมใช้งานเฉพาะภาษาอังกฤษและในสหรัฐอเมริกาก่อน ส่วนภูมิภาค กำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อนำฟังก์ชัน AI ไปใช้ได้

นอกจากนี้ Apple ประกาศจ่ายเงินปันผล 0.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น มูลค่ารวม 3.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับไตรมาสนี้ หลังพบว่ากำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 11% แตะ 1.40 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น

ทั้งนี้ หุ้น Apple ลดลงเล็กน้อยที่ 1.68% เหลือเพียง 218.36 ดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ราคาหุ้นผันผวนเล็กน้อยในการซื้อขายหลังปิดตลาดเมื่อวันพฤหัสบดี แต่ Apple ยังเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกด้วยมูลค่าตลาด 3.348 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ที่มา Amazon, Reuters, Business Insider, Financial Times 1, Financial Times 2, Nikkei Asia, Bloomberg, TechCrunch, CNBC, Apple, Apple Newsroom, Companies Market Cap

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT