ภายหลังจากที่ CEO ได้แสดงวิสัยทัศน์ และทิศทางสู่สายการบินชั้นนำของโลกนั้น ล่าสุด ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ได้แถลงผลประกอบการของบริษัท ปี 2565 รวมถึงแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจ ที่จะนำสายการบินไทยสมายล์ มารวมกับบริษัทแม่ เพื่อความคล่องตัว พร้อมตั้งเป้าปี 2566รายได้แตะ 1.3-1.4 แสนล้านบาท
ยุบไทยสมายล์ภายในสิ้นปีนี้
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยจะยุบรวมกิจการบริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ส จำกัด ที่ถือหุ้นโดยการบินไทย 100% มารวมกับบริษัทแม่ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการจัดการเส้นทางบินมากขึ้น
“ การยุติบทบาทของไทยสมายล์ เป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทอยู่แล้วที่ระบุว่า ที่สุดแล้วจะเหลือเพียงการบินไทยแบรนด์เดียวเท่านั้น ไม่มีไทยสมายล์ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการ” นายปิยสวัสดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อแก้ไขปรับปรุงแผนธุรกิจอยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์การบริหารทีมเดียว คาดว่าจะใช้เวลาในการศึกษาประมาณ 2 เดือน และคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จช่วงเดือนพ.ค.66 จากนั้นจะนำเสนอคณะกรรมการเจ้าหนี้เพื่อขอความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในฐานะที่กำกับดูแลกิจการการบินพลเรือน เพื่อพิจารณาเห็นชอบการแก้ไขปรับปรุงแผนธุรกิจ ก่อนเสนอสำนักงานคณะกรรมการการบินพลเรือน(กบร.) ซึ่งคาดว่าน่าจะสามารถบริหารงานที่เป็นทีมเดียวกันภายในสิ้นปีนี้
“เมื่อแผนดังกล่าวได้รับความเห็นชอบ จะทำให้เกิดความคล่องตัวในบริหารทรัพย์สินและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เครื่องบินมากขึ้นกว่าเดิมจากปัจจุบันที่ไทยสมายล์บินอยู่ 9 ชั่วโมงต่อวัน จะเพิ่มเป็น 12-13 ชั่วโมงต่อวันได้ จะช่วยลดต้นทุนลงได้ประมาณ 30% และจะส่งผลให้การดำเนินงานในปี 66 กลับมาเป็นบวกไม่ขาดทุน” นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร THAI กล่าว
นอกจากนี้ เมื่อเหลือเพียงการบินไทยแบรนด์เดียวจะทำให้สามารถบริหารจัดการเครื่องบินได้ง่าย โดยนำเครื่องบิน A320 ของไทยสมายล์ไปให้บริการบินในบางเส้นทางที่เหมาะสมได้ เช่น อินเดีย จีน สิงคโปร์ ที่สามารถมำการบินในช่วงเวลากลางคืนได้
ปี 2565 ขาดทุนสุทธิ 252 ล้านบาท
ผลประกอบการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ปี 2565 ขาดทุน 252 ล้านบาท ลดลง 101% จากปีก่อน ที่ 55,113 ล้านบาท แต่รายได้รวม อยู่ที่ 105,041 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 342% มีกำไรจากการดำเนินงาน 7,797 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 140% มี EBIDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบิน อยู่ที่ 17,241 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 736% และกระแสเงินสด อยู่ที่ 34,540 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 526%
“ผลประกอบการในไตรมาส 4/65 เป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี จำนวนผู้โดยสารสู่ระดับ 2 ล้านคน อัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor)ที่ 82.6% และเส้นทางยุโรป-ออสเตรเลียมี Cabin Factor เต็ม 100% ทำให้ราคาตั๋วสูงขึ้นตามดีมานด์ แม้ว่าราคาน้ำมันจะสูงขึ้น” นายปิยสวัสดิ์ กล่าว
โดยไตรมาส 4/65 เริ่มมีกำไรจากการดำเนินงาน 8,882 ล้านบาท จากที่ขาดทุนจากการดำเนินงาน 2,579 มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 11,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 178% มีรายได้รวม 36,902 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 367% EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบิน 10,626 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 630% และกระแสเงินสดสิ้นปี 65 อยู่ที่ 3.4 หมื่นล้านบาท
ผลประกอบการปี 65 ดีขึ้นทำให้ EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบิน ใกล้เคียงกับแผนฟื้นฟูกิจการที่วางไว้ 20,000 ล้านบาทในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง และปัจจุบัน EBITDA ในช่วงเดือน ก.พ.65-ม.ค.66 ทำได้เกิน 20,000 ล้านบาทแล้ว
สายการบินไทยสมายล์ ขาดทุน 4,248 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัท ไทยสมายล์แอร์เวย์ จำกัด ซึ่งมีผลการดำเนินงานขาดทุน 4,248 ล้านบาท และรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิของบริษัทฯและบริษัทย่อยสุทธิที่เป็นรายได้ 1,187 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการกลับรายงานผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ กำไรจากการขายสินทรัพย์ การขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศจากการตีมูลค่าทางบัญชีอันเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินบาท และต้นทุนทางการเงินตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 (TFRS 9) 11,148 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทและบริษัทย่อยขาดทุนสุทธิ 252 ล้านบาท หรือคิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 0.12 บาท แต่ผลการดำเนินงานดังกล่าวยังอยู่ในระดับที่ดีกว่าประมาณการในแผนฟื้นฟูกิจการ จากปี 2564 มีกำไรต่อหุ้น 25.25 บาท
ปี 2565 ขนส่งผู้โดยสารรวม 9.01 ล้านคน
โดยปี 2565 บริษัทฯและบริษัทย่อย มีปริมาณการผลิต (ASK) เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 243% และมีปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เพิ่มขึ้นถึง 1,118% มีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 67.9% สูงกว่าปี 2564 ซึ่งเฉลี่ยเท่ากับ 19.1% มีจำนวนผู้โดยสารที่ทำการขนส่งรวมทั้งสิ้น 9.01 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 449% มีปริมาณการผลิตด้านการขนส่งสินค้า (ADTK) สูงกว่าปีก่อน 249% ปริมาณการขนส่งสินค้า (RFTK) สูงกว่าปีก่อน 134% อัตราส่วนการขนส่งสินค้า (Freight Load Factor) เฉลี่ยเท่ากับ 63.1%
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีเครื่องบินใช้ทำการบินรวมทั้งสิ้น 64 ลำ และในตารางการบินฤดูร้อน ปี 2566 ให้บริการเที่ยวบินสู่ 39 เส้นทางบินทั่วโลก พร้อมเพิ่มความถี่เที่ยวบินในเส้นทางบินยุโรป ออสเตรเลีย เอเชีย อาทิ โตเกียว (นาริตะ และฮาเนดะ) โอซากา โซล ไทเป ฮ่องกง สิงคโปร์ กัลกัตตา มุมไบ เป็นต้น และกลับมาให้บริการเส้นทางบินเพิ่มเติมในเส้นทางประเทศจีนในช่วงต้นปีได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง เฉิงตู กวางโจว เพื่อรองรับการเดินทางที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนเร่งขยายขนาดฝูงบินให้เพียงพอต่อแผนเส้นทางบินและจำนวนเที่ยวบิน เพื่อบรรลุเป้าหมายการหารายได้ตามแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ นำไปสู่ความเจริญอย่างยั่งยืนในอนาคตต่อไป
ตั้งเป้ารายได้รวมปี 25666 แตะ 1.3-1.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 30%
“คาดรายได้รวมปี 2566 การบินไทยจะมีประมาณ 1.3-1.4 แสนล้านบาท เติบโต 30% จากปีก่อน ที่มีรายได้รวม 1.05 แสนล้านบาท ที่จะมาจากการท่องเที่ยวฟื้นตัวและจีนเปิดประเทศเร็วกว่าที่คาดไว้กลางปี 66 ทำให้ดีมานด์การเดินทางสูงขึ้น และคาดว่า EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบินจะสูงขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 1,7241 ล้านบาท” นายชาย กล่าว
การบินไทยคาดว่าในปีนี้จะมีจำนวนผู้โดยสาร 12 ล้านคน โดยกลับมาทำการบินได้ 70-80% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีฝูงบิน 81 ลำ และมียอดผู้โดยสาร 19 ล้านคน ขณะที่ capacity ในปีนี้จะเพิ่มขึ้น จากการขยายฝูงบินเป็น 71 ลำภายในปลายปี 66 จากปีก่อนอยู่ที่ 64 ลำ (รวมไทยสมายล์ 20 ลำ)
โดยจะเน้นทำการบินในเส้นทางที่ทำกำไรเป็นหลัก ได้แก่ ทุกเมืองหลักในเส้นทางบินในยุโรป ขณะนี้ปรับมาบิน 1 เที่ยวบิน/วันใน 6 เมือง ส่วนลอนดอนและแฟรงก์เฟิร์ต ทำการบิน 2 เที่ยวบิน/วัน รวมถึงออสเตรเลีย และจะเปิดเส้นทางบินมากขึ้นในญี่ปุ่น เกาหลี และจีน รวมทั้งเพิ่มการบินไปอินเดียที่มีรองรับความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำการบินเพิ่มมาเป็น 60 เที่ยวบิน/สัปดาห์ เข้าใกล้ปี 62 ทำการบิน 65 เที่ยวบิน/สัปดาห์
ปรับโครงสร้างทุนให้เสร็จปี 67 ก่อนกลับมาเทรดต้นปี 68
สำหรับกระแสเงินสดจำนวนมากถึง 4 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน และแนวโน้มผลประกอบการจะดีขึ้น ทำให้ความจำเป็นในการใช้เงินกู้ก้อนใหม่ที่วางไว้ 2.5 หมื่นล้านบาทลดลง โดยบริษัทต้องการให้เจ้าหนี้ใหม่มาใช้สิทธิแปลงหนี้เป็นทุน ซึ่งจะช่วยให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นบวกเร็วขึ้น คาดว่าจะตัดสินใจได้ภายในกลางปีนี้
ขณะที่การปรับโครงสร้างทุน ทั้งการแปลงหนี้เป็นทุน การขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมคาดว่าจะสามารถดำเนินการครึ่งหลังปี 67 หลังจากคาดว่าจะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างทุนในกลางปีนี้ โดยมี บล.เกียรตินาคินภัทร เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะใช้สิทธิเต็มที่จะแปลงหนี้เป็นทุนและซื้อหุ้นเพิ่มทุน โดยหลังจากปรับโครงสร้างทุนใหม่ กระทรวงการคลังจะถือหุ้น 44% ก็จะทำให้การบินไทยไม่กลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจอีกต่อไป เมื่อปรับโครงสร้างทุนแล้วก็จะทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นบวก จากนั้นออกจากแผนฟื้นฟู ก็คาดว่าหุ้น THAI จะกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ตามเดิมในต้นปี 68