ประกอบการออกมาค่อนข้างเป็นที่พอใจ ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่มีความสั่นไหลเรื่องสภาพคล่อง เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูง และเศรษฐกิจไทยที่ต้องฝ่าด่านยอดส่งออกที่ลดลง ความหวังเดียว คือ รายได้จากการท่องเที่ยว เพราะสถานการณ์การเมืองยังไม่แน่นอนสูง รัฐบาลชุดใหม่จะเกิดขึ้นภายในส.ค.-ก.ย.หรือไม่ จะหวังพึ่งพางบประมาณจากภาครัฐในกระตุ้นเศรษฐกิจคงจะยาก
SPOTLIGHT ได้รวบรวมผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ทั้ง 10 ธนาคารจะเป็นอย่างไรกันบ้าง?
พบว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย ( 10 ธนาคาร) ในช่วงครึ่งแรกปี 2566 มีกำไรสุทธิถึงราว 121,919 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำกำไรได้ 105,798 ล้านบาท
ผลจากภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ที่มีแนวโน้มฟื้นตัว จากแรงสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ในช่วง 5 เดือนแรกเติบโตดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้มีความหวังว่าปีนี้ทั้งปี 2566 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติแตะ 29-30 ล้านคนเลยทีเดียว ที่จะช่วยพยุงให้เศรษฐกิจไทยยังเดินหน้าต่อไปได้
โดยเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปนี้ ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทาย จากการเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบาย เพื่อให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งการลดบทบาทมาตรการภาครัฐ อัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้น โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่ส่งผลให้ต้นทุนของภาคธุรกิจปรับสูงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง
โดยครึ่งแรกปีนี้ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBx ทำกำไรสุทธิได้ถึง 22,864 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% ส่วนในไตรมาส 2/2566 มีกำไรสุทธิ จำนวน 11,868 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายตัวของฐานรายได้ และการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
SCBx ได้ตั้งเงินสำรองในเชิงรุกจำนวน 12,098 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพื่อรองรับการดำเนินงานของธุรกิจในกลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มสินเชื่อผู้บริโภคที่ไม่มีหลักประกัน ภายใต้สถานการณ์ที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงเปราะบาง และมีความอ่อนไหวต่อปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ
ขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นไปสู่ระดับ 170.6% และคุณภาพของสินเชื่อโดยรวมยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2566 อยู่ที่ 3.25% ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจาก 3.32% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 และเงินกองทุนรวมตามกฎหมายของบริษัทฯ ยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.7%
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลประกอบการโดยรวมถือว่ามีความแข็งแกร่ง โดยมี ROE เพิ่มขึ้นไปสู่ระดับ 10% เป็นครั้งแรกนับจากวิกฤตโควิด SCBx ยังคงดำเนินธุรกิจตามหลักความระมัดระวังรอบคอบภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน และมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง”
พร้อมกันนี้ กลุ่ม SCBX ยังคงมุ่งมั่นในการวางรากฐานในการเติบโตในระยะต่อไป ล่าสุดได้ประกาศความร่วมมือกับ KakaoBank ผู้นำด้านธนาคารดิจิทัลในประเทศเกาหลีใต้ เพื่อร่วมขอใบอนุญาตธนาคารไร้สาขาในประเทศไทย และแพลตฟอร์มโรบินฮู้ดได้เปิดตัวธุรกิจบริการเรียกรถ (Ride Hailing) นอกจากนี้ ความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งแรก มูลค่ารวม 50,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม SCBX
KBANK มีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ที่ 21,735 ล้านบาท ลดล 1.22% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยธนาคารยังคงดำเนินการตามหลักความระมัดระวังอย่างสม่ำเสมอในการพิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss : ECL) ตามแนวทางที่ธนาคารมีการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์เชิงรุกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจัดการลูกค้าธุรกิจรายใหญ่รายหนึ่งที่เริ่มมีสัญญาณความเสื่อมถอยในไตรมาสก่อน และได้มีสำรองฯ ครบถ้วนแล้วในไตรมาส 1 ปี 2566
โดยในไตรมาส 2 นี้ ยังคงตั้งสำรองอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 32.77% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แต่มีความใกล้เคียงกับที่ธนาคารได้ประมาณการไว้ก่อนหน้า
เพื่อรองรับสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และปัจจัยทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ยังส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศยังไม่กระจายตัวทั่วถึง และส่งผลต่อลูกค้าบางกลุ่มที่ยังมีความเปราะบาง
โดยกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้มีจำนวน 54,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.73% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ของธนาคารและทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ร่วมกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพอย่างสม่ำเสมอ
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เผยว่า “ในช่วงที่เหลือของ ปี 2566 นั้น แม้ว่าเศรษฐกิจไทยอาจประคองทิศทางการเติบโตได้ แต่แนวโน้มในภาพรวมยังคงเปราะบางและยังมีหลายปัจจัยที่ต้องติดตาม โดยเฉพาะปัจจัยทางการเมืองในประเทศ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ สัญญาณการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก รวมถึงผลกระทบต่อประเด็นคุณภาพหนี้ หลังจากที่อัตราดอกเบี้ยในประเทศทยอยปรับเพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา”
BBL ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ มีกำไรสุทธิ 21,423 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 52.2% ส่วนใหญ่มาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 36.0% เป็นไปตามภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น จากอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นสุทธิกับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนเงินรับฝากและการปรับอัตราเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าสู่ระดับเดิมตั้งแต่ต้นปี 2566
จึงทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 2.88% รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิอยู่ในระดับใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 18.3% ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น และส่วนหนึ่งจากค่าใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ในระดับที่ลดลงเป็น 47.1%
นอกจากนี้ BBL ได้มีการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง จึงมีการตั้งสำรองในไตรมาส 2 ปี 2566 อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน ทำให้สำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในงวดแรกปี 2566 มีจำนวน 17,354 ล้านบาท
Krungthai ครึ่งแรกปี 2566 มีกำไรสุทธิ 20,223 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.0% ผลจากรายได้จากการดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้น การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและบริหารคุณภาพสินทรัพย์ และดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง
โดยไตรมาส 2/2566 มีกำไรสุทธิ 10,156 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5% โดยมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 28.0% และมีรายได้รวมจากการดำเนินงาน เพิ่มขึ้น 21.2% จากการเติบโตในกลุ่มสินเชื่อ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนโดยรวมปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า “ กรุงไทยดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังและบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด เพื่อรักษาระดับของ Coverage Ratio ในระดับสูง รองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ”
แบงก์กรุงไทยได้มีการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพิ่มขึ้น 36.8% โดยพิจารณาถึงการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน และยังคงรักษา Coverage ratio ที่ระดับ 177.4% และมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPLs Ratio) 3.11%ลดลงจากสิ้นปี 2565
Krungsri มีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งแรกปีนี้ ที่ 17,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.0% โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักคือ รายได้จากการดำเนินงาน ที่เพิ่มขึ้นมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย รวมทั้งการเริ่มรับรู้รายได้เพิ่มเติมซึ่งเป็นผลจากการควบรวมธุรกิจในต่างประเทศในไตรมาสที่สอง
โดยได้รับแรงสนับสนุนหลักจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะเพิ่มขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เร่งตัวขึ้น
รวมถึงภาระการตั้งสำรอง เงินให้สินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น 3.1% จากสิ้นปี 2565 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ 9.1% และสินเชื่อเพื่อรายย่อยที่ 4.5% ซึ่งครอบคลุมบริษัทในเครือแห่งใหม่ในประเทศฟิลิปปินส์และเวียดนาม
ทั้งนี้ กรุงศรีมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 3.52% จาก 3.36% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น
ขณะที่ อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) คุณภาพสินทรัพย์โดยรวมอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ค่อนข้างคงที่อยู่ที่ 2.31% ขณะที่สัดส่วนการตั้งสำรองต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 134 เบสิสพอยท์
ด้านนายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ กรุงศรียังคงมุ่งมั่นเดินหน้าสู่เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในการเป็นธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาคอาเซียน โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ธนาคารได้เข้าซื้อธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในประเทศฟิลิปปินส์และเวียดนาม ซึ่งเป็นสองเศรษฐกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในภูมิภาค โดยการควบรวมบริษัทในเครือใหม่นี้ยังช่วยสนับสนุนการเติบโตของเงินให้สินเชื่อในระหว่างไตรมาส”
ttb มีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรก ที่ 8,861 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ถึง 33.6% โดยได้รับปัจจัยหนุนหลักจาก ทั้งรายได้ การบริหารค่าใช้จ่าย และการตั้งสำรองฯ ที่ลดลงจากสถานการณ์ด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่เป็นไปตามเป้าหมาย สามารถลดและควบคุมอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพให้อยู่ในระดับต่ำที่ 2.63% ขณะที่อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 144%
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต เผยว่า “ ttb ยังคงรักษาแนวโน้มการเติบโตด้านรายได้และกำไรในแต่ละไตรมาสได้อย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความสำเร็จจากการกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสม และความคล่องตัวในการปรับกลยุทธ์การบริหารพอร์ตทั้งด้านสินทรัพย์และด้านหนี้สิน (Asset-Liability Management) เพื่อรับมือกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นได้เป็นอย่างดี”
ด้วย 2 กลยุทธ์หลักที่ใช้ในการบริหารพอร์ตเพื่อหนุนรายได้ดอกเบี้ย ได้แก่ การรีไซเคิลเงินทุน หรือ การหมุนเวียนนำเอาสภาพคล่องที่ได้รับกลับมาจากการชำระคืนหนี้ไปปล่อยกู้ให้กับสินเชื่อใหม่ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ภายใต้กรอบความเสี่ยงที่กำหนดไว้
โดยวิธีนี้จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการให้สินเชื่อ โดยที่ธนาคารไม่จำเป็นต้องเร่งเติบโตสินเชื่ออย่างรวดเร็วจนอาจนำมาซึ่งปัญหาด้านคุณภาพสินทรัพย์ในภายหลัง
ขณะที่เงินฝากธนาคารใช้กลยุทธ์การขยายฐานเงินฝากล่วงหน้าก่อนที่จะเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น โดยได้ทยอยเพิ่มเงินฝากประจำมาตั้งแต่ปีที่แล้ว จึงไม่ต้องเร่งขยายเงินฝากมากนักในปีนี้ ช่วยควบคุมต้นทุนเงินฝากได้เป็นอย่างดี
TISCO ในช่วงครึ่งปีแรก มีกำไรสุทธิ ที่ 3,646.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% เท่านั้น โดยสินเชื่อเติบโต 5.2% นำโดยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยขยับตัวสูงขึ้น ด้านต้นทุนทางการเงินปรับสูงขึ้นตามภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น พร้อมรุกตลาดสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค ผ่านการขยายสาขาสมหวัง เงินสั่งได้ และเงินสำรองหนี้สูญอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 224%
สำหรับในช่วงที่เหลือของปี 2566 คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้มากกว่าครึ่งปีแรก โดยทิสโก้ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ราว 3.5-4% ด้วยแรงส่งหลักจากการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง
แต่ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลทำให้การลงทุนภาครัฐและการใช้จ่ายงบประมาณ ทั้งงบประจำและงบลงทุนต้องล่าช้าออกไป ทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เปราะบาง ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ ตลอดจนการปรับเพิ่มของดอกเบี้ยอย่างเร็วแรงในตลาดโลกที่อาจก่อให้เกิด Unintended Consequences เป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ในขณะที่ราคาสินค้าและบริการที่ปรับตัวสูงขึ้นยังเป็นแรงกดดันต่อค่าครองชีพและความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนไทย ในภาวะที่หนี้ครัวเรือนโดยรวมอยู่ในระดับที่สูงเช่นในปัจจุบัน
นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ เผยว่า “ ทิสโก้ยังคงเดินหน้าสร้างโอกาสการเติบโตในธุรกิจที่เชี่ยวชาญ ตามพันธกิจที่มุ่งเน้นการเติบโตด้วยความมั่นคงและยั่งยืน ผ่าน 3 กลไกหลัก คือ “Passion” สิ่งที่เรามุ่งมั่น “Professional” สิ่งที่เรามีความเชี่ยวชาญ และ “Social” เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์สังคมได้”
โดยกลุ่มเป้าหมายชัดเจนเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ และทันกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนไทย ด้วยการเข้าไปช่วยคนไทยวางแผนทางการเงินอย่างจริงจังในทุกกลุ่มเป้าหมาย
ด้วยกลยุทธ์การสร้างจุดร่วมของผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายมาดูแลลูกค้า ครอบคลุมทั้งการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่รองรับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ที่ตอบโจทย์ครบทั้ง Wealth Creation และ Wealth Protection การออกแบบบริการให้แก่ลูกค้ารายใหญ่แบบองค์รวม (Total Solutions) โดยเฉพาะในลูกค้ากลุ่มพลังงานและอสังหาริมทรัพย์
พร้อมทั้ง การเร่งขยายสาขาสมหวัง เงินสั่งได้ เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อในระบบแก่ชุมชนและธุรกิจรายย่อย ตามหลัก Responsible Lending และการแก้หนี้ภาคครัวเรือนอย่างยั่งยืนเพื่อไม่ให้เป็นหนี้เรื้อรัง (Persistent Debt) ผ่านการรวมหนี้ เพื่อลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกค้า เป็นต้น
KKP ประกาศผลประกอบการมีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งแรกปีนี้ ที่ 3,493 ล้าบาท ลดลงถึง 14.6% โดยรายได้รวมยังอยู่ในระดับที่ดี เพิ่มขึ้น 14.1% หลักๆ มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 22.4% ตามสินเชื่อที่ขยายตัว ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 38.7% และมีผลขาดทุนจากการขายสินทรัพย์รอการขาย(NPA) จำนวน 2,063 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนจากรถยึดที่เพิ่มขึ้น ตามการขยายสินเชื่อเช่าซื้อ และเร่งบริหารความเสี่ยงเชิงรุก โดยบริหารจัดการปริมาณรถยึดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งนี้ KKP มีเงินกองทุนอยู่ที่ 11.0% สินเชื่อขยายตัวที่ระดับ 5.6% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นการขยายตัวของสินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อไมโครเครดิต และสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
CIMBT มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 1,369 ล้านบาท ลดลงถึง 35.3% สาเหตหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายการดำเนินงานและการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น
พอล วอง ชี คิน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เผยว่า “กำไรสุทธิลดลงจำนวน 746.6 ล้านบาท หรือ 35.3% เป็นจำนวน 1,368.9 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันนั้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้น 94.2% โดยเป็นการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับหลักความระมัดระวังของธนาคารและเหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เป็นอยู่
ทั้งนี้ สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 7.7 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ 3.1% ลดลงเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ 3.3% ซึ่งสอดคล้องกับการปรับโครงสร้างพอร์ตสินทรัพย์ของธนาคารด้วยการลดลงของสินเชื่อพาณิชย์ธนกิจ
CIMBT ยังคงมาตรฐานการอนุมัติสินเชื่อ และนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมขึ้น ตลอดจนได้มีแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการติดตามหนี้ การดำเนินการดูแลและการแก้ไขลูกหนี้ที่ถูกผลกระทบดังกล่าวอย่างใกล้ชิด
สำหรับอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 อยู่ที่ 122.1% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 114.6% ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 8.7 พันล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1.5 พันล้านบาท และอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยง 21.2% โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ระดับ 15.7%
อันดับ 10 LHFG กำไรพุ่งสูงมากถึงกว่า 60%
LHFG มีกำไรสุทธิครึ่งแรกปี 2566 อยู่ที่ 1,201.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.3% หลักๆ มาจากเพิ่มขึ้นของธนาคาร จากการขยายสินเชื่อ และการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และธนาคารยังมีการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดย Coverage Ratio อยู่ที่ระดับ 228.73% และ NPL Ratio เพิ่มขึ้นเป็น 2.32% จากสิ้นปี 2565 อยู่ที่ 2.09% ฃ
ภาพรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งแรกปีนี้ ออกมาค่อนข้างสดใส ภายใต้ความเสี่ยงมากมาย ซึ่งทุกธนาคารเองก็มีความระมัดระวังความเสี่ยง โดยมีการเพิ่มการตั้งสำรอง เพื่อรองรับความเสี่ยงกันในอนาคต ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ต้องทำ คือ การดูแลลูกค้าที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นหนี้เสียในอนาคต ถ้าทุกแบงก์ช่วยกันเข้าไปดูแล ทั้งลูกหนี้ที่ดี และลูกหนี้ที่เปราะบางก็จะส่งผลดีกับทั้งประเทศไทย ไม่ใช่แค่แบงก์และลูกค้าเพียงเท่านั้น