ธนาคารพาณิชย์ไทยยังคงโชว์ฟอร์มแข็งแกร่ง! ผลประกอบการไตรมาส 3/67 ของธนาคารพาณิชย์ 11 แห่ง ออกมาสดใส ด้วยกำไรสุทธิรวมกว่า 6.47 หมื่นล้านบาท เติบโต 7.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สะท้อนถึงการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและความสามารถในการปรับตัวของธนาคารพาณิชย์ไทย ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวน
บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาคุณไปเจาะลึกผลประกอบการของธนาคารแต่ละแห่งวิเคราะห์ปัจจัยขับเคลื่อน และความท้าทาย พร้อมเผยกลยุทธ์ รวมถึงทิศทางในอนาคตของแต่ละธนาคาร เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมของภาคธนาคารไทยและไม่พลาดทุกประเด็นสำคัญ
BANK | Q3/67 (ล้านบาท) | Q2/67 (ล้านบาท) | % | Q3/66 (ล้านบาท) | % | 9 เดือนแรก ปี 67 (ล้านบาท) | 9 เดือนแรก ปี 66 (ล้านบาท) | % |
KBANK | 11,965 | 12,653 | -5.43% | 11,282 | 6.05% | 38,104 | 33,017 | 15.41% |
BBL | 12,476 | 11,807 | 5.70% | 11,350 | 9.90% | 34,807 | 32,773 | 6.20% |
KTB | 11,107 | 11,195 | -0.80% | 10,282 | 8.00% | 33,381 | 30,505 | 9.40% |
SCB | 10,941 | 10,014 | 9.30% | 9,663.10 | 13.20% | 32,236 | 32,526 | -0.90% |
BAY | 7,672 | 8,209 | -6.50% | 8,096 | -5.20% | 23,424 | 25,198 | -7.00% |
TTB | 5,230 | 5,355 | -2.30% | 4,735 | 10.50% | 15,919 | 13,596 | 17.10% |
TISCO | 1,713 | 1,753 | -2.30% | 1,874 | -8.60% | 5,199 | 5,521 | -5.80% |
KKP | 1,305 | 769 | 69.70% | 1,281 | 1.90% | 3,579 | 4,774 | -25.00% |
CREDIT | 1,161 | 820 | 41.70% | 986 | 17.83% | 2,431.60 | 2,816 | -13.70% |
CIMBT | 595 | 668.46 | -10.89% | 367 | 62.12% | 1,890 | 1,736 | 8.90% |
LHFG | 579.8 | 491.5 | 18.00% | 542.7 | 6.80% | 1,471 | 1,745 | -15.70% |
รวม | 64,745 | 63,735 | 1.58% | 60,459 | 7.90% | 192,442 | 184,207 | 4.46% |
ผลประกอบการไตรมาส 3/67 ของธนาคารพาณิชย์ 11 แห่ง บ่งชี้ถึงการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิรวมสูงถึง 6.47 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.58% จากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่โดดเด่น ทั้งนี้ กำไรสุทธิรวม 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 1.94 แสนล้านบาท เติบโต 4.46% โดยธนาคาร 9 แห่งจากทั้งหมด 11 แห่ง รายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของกำไรสุทธิ มาจากการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพและการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โดย 9 ใน 11 ธนาคาร มีรายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/67 ด้วยกำไรสุทธิที่แข็งแกร่งถึง 12,476 ล้านบาท เติบโต 9.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 5.7% จากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนถึงการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ แม้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 3/67 จะปรับตัวลดลง 2.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ภาพรวม 9 เดือนแรก ยังคงมีการเติบโตที่ 4.4% แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินทรัพย์และหนี้สิน
คุณภาพสินทรัพย์ ธนาคารมีผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงทั้งจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน บ่งชี้ถึงการบริหารความเสี่ยงด้านเครดิตที่มีประสิทธิภาพ
สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 BBL มีกำไรสุทธิ 34,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566
ธนาคารยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุน ควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้น ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่มีความท้าทาย
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/67 โดยมีกำไรสุทธิ 11,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.05% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จะลดลง 5.43% จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตาม KBANK ยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง โดยกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 38,104 ล้านบาท เติบโต 15.41% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566
กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปี 2567 KBANK มีกำไรสุทธิ 38,104 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.41% จากช่วงเดียวกันของปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 33,017 ล้านบาท สะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารจัดการ และการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ปรับตัวลดลง 1.15% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 2.58% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจ และการแข่งขันในตลาดสินเชื่อ
คุณภาพสินทรัพย์ ธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง โดยผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง 0.18% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 8.91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
KBANK มุ่งมั่นที่จะรักษาการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่มีความท้าทาย
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/67 ด้วยกำไรสุทธิ 11,107 ล้านบาท แม้ลดลงเล็กน้อย 0.8% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่เติบโต 8.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปี 2567 KTB ทำกำไรสุทธิได้ 33,381 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.4% จากช่วงเดียวกันของปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 30,505 ล้านบาท
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 29,885 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 9 เดือนแรก เติบโต 7.8%
การบริหารจัดการความเสี่ยง KTB ตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 3/67 ที่ 8,312 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากทั้งไตรมาสก่อนหน้า และช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ
การเติบโตของสินเชื่อ โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้ารายย่อย และลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการต้นทุน
การควบคุมคุณภาพสินทรัพย์
ธนาคารกรุงไทย ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง เพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ
บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/67 ด้วยผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิ 10,941 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% จากไตรมาสก่อนหน้า (10,014.33 ล้านบาท) และเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ 13.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (9,663.10 ล้านบาท)
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโต โดยในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 32,635 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.2% จากไตรมาสก่อน และเติบโต 3.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินทรัพย์และหนี้สิน ภายใต้สภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
การบริหารความเสี่ยงด้านเครดิต SCBX ยังคงดำเนินนโยบายการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เห็นได้จากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 3/67 ที่ลดลง 5.7% จากไตรมาสก่อน และลดลง 10.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน บ่งชี้ถึงคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น
สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 SCBX มีกำไรสุทธิ 32,236.30 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 (32,526.60 ล้านบาท) ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยพิเศษ เช่น การขายธุรกิจ Robinhood ในไตรมาส 2/67
แม้เผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ และการแข่งขันที่รุนแรง SCBX ยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจใน Ecosystem การนำเทคโนโลยี และนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงการขยายฐานลูกค้า และการตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาด
นอกจากธนาคารขนาดใหญ่ ธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางก็ได้ทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/67 เช่นกัน โดยมี BAY, TTB, TISCO, KKP และ CREDIT ที่รายงานกำไรสุทธิอยู่ในระดับพันล้านบาท
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY สถาบันการเงินชั้นนำของประเทศไทย รายงานผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3/67 โดยมีกำไรสุทธิ 7,672 ล้านบาท แม้ว่ากำไรสุทธิจะปรับตัวลดลง 6.5% จากไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 5.2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่ธนาคารยังคงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการบริหารจัดการธุรกิจ และการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิผล ภายใต้บริบททางเศรษฐกิจ และการแข่งขันที่ท้าทาย โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 27,255 ล้านบาท ลดลง 3.7% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่เติบโต 5.1% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงการขยายตัวของธุรกิจสินเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินเชื่อธุรกิจ และสินเชื่อรายย่อย ธนาคารยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สามารถรักษาอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม สำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 11,171 ล้านบาท ลดลง 5.5% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 23.4% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการตั้งสำรองหนี้สูญ และหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ
สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 BAY มีกำไรสุทธิ 23,424 ล้านบาท ลดลง 7.0% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณ 2566 BAY ยึดมั่นในพันธกิจในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลาย ทันสมัย และสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า เพื่อเพิ่มพูนความพึงพอใจ และธำรงรักษาฐานลูกค้า รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยี นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน และการขยายธุรกิจ แสวงหาโอกาสในการขยายธุรกิจ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มพูนรายได้ และส่วนแบ่งทางการตลาด
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB หนึ่งในธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของไทย ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/67 โดยมีกำไรสุทธิ 5,230 ล้านบาท แม้ลดลงเล็กน้อย 2.3% จากไตรมาสก่อนหน้า (5,355 ล้านบาท) แต่ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง 10.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (4,735 ล้านบาท) สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการ และการปรับตัวของธนาคาร ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจ และการแข่งขันที่ท้าทาย
ผลประกอบการของ TTB ในไตรมาสนี้ ได้รับแรงกดดันจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ปรับตัวลดลง โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 14,062 ล้านบาท ลดลง 0.9% จากไตรมาสก่อนหน้า (14,185 ล้านบาท) และลดลง 4.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (14,665 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุน และค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้กำไรสุทธิยังคงเติบโตได้ ในส่วนของคุณภาพสินทรัพย์ TTB มีผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 4,764 ล้านบาท ลดลง 9.8% จากไตรมาสก่อนหน้า (5,281 ล้านบาท) แต่เพิ่มขึ้น 9.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (4,354 ล้านบาท) ซึ่งสะท้อนถึงความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ และการบริหารความเสี่ยงของธนาคาร
สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 TTB มีกำไรสุทธิ 15,919 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.1% จากช่วงเดียวกันของปี 2566 (13,596 ล้านบาท) แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่แข็งแกร่ง และต่อเนื่องของธนาคาร TTB มุ่งมั่นที่จะพัฒนา และเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ลดต้นทุน และค่าใช้จ่าย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ นำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการทางการเงินที่หลากหลาย ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และสอดคล้องกับ Digital Lifestyle และการบริหารความเสี่ยง ยกระดับการบริหารความเสี่ยง เพื่อรองรับความไม่แน่นอน และความท้าทายทางเศรษฐกิจ
บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO ผู้ให้บริการทางการเงินครบวงจร รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/67 โดยมีกำไรสุทธิ 1,713.43 ล้านบาท ลดลง 2.3% จากไตรมาสก่อนหน้า (1,753.02 ล้านบาท) และลดลง 8.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (1,874.49 ล้านบาท) ผลการดำเนินงานของ TISCO ในไตรมาสนี้ ได้รับผลกระทบจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 358.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 338.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (81.82 ล้านบาท) ซึ่งเป็นผลมาจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และความเสี่ยงด้านเครดิต อย่างไรก็ตาม รายได้ดอกเบี้ยสุทธิยังคงอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 3,385.40 ล้านบาท ลดลงเพียงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า (3,387.45 ล้านบาท) และลดลง 3.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (3,491.86 ล้านบาท)
สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 TISCO มีกำไรสุทธิ 5,199.47 ล้านบาท ลดลง 5.8% จากช่วงเดียวกันของปี 2566 (5,520.95 ล้านบาท) TISCO มุ่งมั่นที่จะรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจ โดยมุ่งเน้นการบริหารความเสี่ยง ควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ และบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ รวมถึงการพัฒนาธุรกิจ ขยายฐานลูกค้า และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลาย และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และการเพิ่มประสิทธิภาพ ปรับปรุงกระบวนการทำงาน และนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุน
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/67 ด้วยกำไรสุทธิที่โดดเด่น 1,305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69.7% จากไตรมาสก่อน (769 ล้านบาท) และเติบโต 1.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (1,281 ล้านบาท)
ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 3/67 ลดลงถึง 61.5% จากไตรมาสก่อน (1,769 ล้านบาท) และลดลง 59.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (1,678 ล้านบาท) ส่งผลให้ KKP สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายและเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม รายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 4,937 ล้านบาท ลดลง 1.4% จากไตรมาสก่อน (5,009 ล้านบาท) และลดลง 17.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (5,988 ล้านบาท) ซึ่งอาจสะท้อนถึงการแข่งขันด้านอัตราดอกเบี้ยที่รุนแรงขึ้นในตลาด
สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2567 KKP มีกำไรสุทธิ 3,579 ล้านบาท ลดลง 25.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (4,774 ล้านบาท) ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย
KKP ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยง การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT กลับมาผงาดอีกครั้ง ด้วยผลประกอบการไตรมาส 3/67 ที่น่าประทับใจ โดยมีกำไรสุทธิ 1,161.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 41.7% จากไตรมาสก่อน (820.1 ล้านบาท) และเติบโต 17.83% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (986.0 ล้านบาท)
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้ เป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่แข็งแกร่ง ซึ่งอยู่ที่ 3,749.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากไตรมาสก่อน และเติบโต 9.41% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการขยายธุรกิจสินเชื่อ ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการด้านสินทรัพย์และหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ CREDIT ยังสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้อย่างดีเยี่ยม โดยผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 3/67 ลดลง 38.2% จากไตรมาสก่อน และลดลง 22.40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ดี แม้ผลประกอบการในไตรมาสนี้จะสดใส แต่ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 CREDIT มีกำไรสุทธิ 2,431.6 ล้านบาท ลดลง 13.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (2,816.7 ล้านบาท) ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดสินเชื่อ และภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีความไม่แน่นอน
CREDIT ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง โดยให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพสินทรัพย์ ควบคุมการเติบโตของสินเชื่อ และเน้นการปล่อยสินเชื่อที่มีคุณภาพ ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างความพึงพอใจ และรักษาฐานลูกค้า
ปิดท้ายด้วยผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก 2 แห่ง ได้แก่ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMBT และ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ LHFG ซึ่งมีกำไรสุทธิน้อยที่สุดในกลุ่ม
CIMBT รายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 595.66 ล้านบาท ลดลง 10.89% จากไตรมาสก่อน (668.46 ล้านบาท) แต่เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นถึง 62.12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (367.41 ล้านบาท) สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2567 CIMBT มีกำไรสุทธิ 1,890.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (1,736.29 ล้านบาท)
LHFG มีกำไรสุทธิในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 579.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.0% จากไตรมาสก่อน (491.5 ล้านบาท) และเติบโต 6.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (542.7 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ LHFG มีกำไรสุทธิ 1,470.5 ล้านบาท ลดลง 15.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (1,744.6 ล้านบาท)
LHFG มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 1,740.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% จากไตรมาสก่อน (1,708.7 ล้านบาท) แต่ลดลง 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (1,762.9 ล้านบาท) ส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 265.9 ล้านบาท ลดลง 25.6% จากไตรมาสก่อน (357.6 ล้านบาท) และลดลง 51.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (552.7 ล้านบาท)
แม้ว่า CIMBT และ LHFG จะมีขนาดธุรกิจเล็กกว่าธนาคารอื่นๆ แต่ทั้งสองแห่งก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจไทย โดยมุ่งเน้นการให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้า และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า รวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อสร้างความมั่นคง และเติบโตอย่างยั่งยืน
ผลประกอบการไตรมาส 3/67 ของธนาคารพาณิชย์ไทยส่วนใหญ่บ่งชี้ถึงการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิรวมสูงถึง 6.47 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.58% จากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่โดดเด่น
ธนาคารส่วนใหญ่เน้นการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เห็นได้จากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง แม้บางธนาคารรายงานรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง แต่โดยรวมยังคงเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโต ธนาคารพยายามควบคุมค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
ธนาคารขนาดใหญ่ (BBL, KBANK, KTB, SCBX) ยังคงมีบทบาทนำในตลาด และมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง BBL และ SCBX ที่รายงานกำไรสุทธิเติบโตโดดเด่น ธนาคารขนาดกลาง (BAY, TTB, TISCO, KKP, CREDIT) แม้กำไรสุทธิโดยรวมจะน้อยกว่าธนาคารขนาดใหญ่ แต่ก็มีอัตราการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะ KKP และ CREDIT ที่รายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ธนาคารขนาดเล็ก (CIMBT, LHFG) มีกำไรสุทธิน้อยที่สุด แต่ก็ยังคงเติบโตได้
แม้ภาพรวมผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ไทยในไตรมาส 3/67 จะออกมาดี แต่ความผันผวนทางเศรษฐกิจ และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้น ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง และอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของธนาคารในอนาคต ธนาคารต้องปรับตัว และนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของลูกค้า
สัญญาณบวก...แต่ต้องระวัง! แม้ภาพรวมผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ไทยในไตรมาส 3/67 จะออกมาดี แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา