การปล่อยคาร์บอนฯ นั้น พบว่า มาจากพลังงานมากสุด คิดเป็น 47% รองลงมาเป็นภาคขนส่ง 22% ภาคเกษตร 16% อุตสาหกรรม 11% และของเสีย 4% ดังนั้น การปรับตัวของมนุษย์ในการรับมือกับภาวะโลกร้อนที่กำลังเข้าสู่โลกเดือด
จึงมีเพียง 2 ทางเลือกเท่านั้น คือ การปรับลดคาร์บอน (Mitigation) และการปรับตัวให้อยู่กับโลกที่ร้อนขึ้น (Adaptation)
“เสนา ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เราได้ทำทั้ง 2 ทางเลือกมาแล้ว โดยเป็นผู้ประกอบการด้านอสังหาฯ รายแรกของไทยที่ติดตั้งแผง
โซลาร์ให้กับบ้านทุกหลังในโครงการและพื้นที่ส่วนกลางของคอนโดมิเนียม จนได้พิสูจน์ให้เห็นว่าได้ช่วยให้ลูกบ้านประหยัดรายจ่าย และนำมาสู่การลดคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม” ผศ.ดร. เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ (ดร.ยุ้ย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เผย
โดยการทำธุรกิจของเสนาที่มี DNA แนวคิดละเอียดใส่ใจแบบ MADE FROM HER สะท้อนออกมาเป็นวิสัยทัศน์ The Essential Lifelong Trusted Partner คือมุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัยและธุรกิจที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ดีในทุกช่วงอายุ ด้วยการพัฒนาฟังก์ชั่นที่เข้ามาตอบโจทย์การใช้ชีวิตในสถานการณ์ต่างๆ และสนับสนุน Decarbonized Lifestyle หรือการใช้ชีวิตแบบ Low Carbon ไปพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะเรื่องประหยัดพลังงานที่เป็นค่าใช้จ่ายหลักของที่อยู่อาศัยและเป็นสาเหตุของการสร้างคาร์บอนเกือบ 50%
ปัจจุบันโครงการแนวราบของ “เสนา” มีแนวคิดบ้านพลังงานเป็น 0 หรือ Zero Energy House (ZEH) ที่ออกแบบในการช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้าน ใช้วัสดุประหยัดพลังงาน
รวมถึง การใช้พลังงานโซลาร์ที่เป็นพลังงานสะอาด เพื่อลดการใช้ไฟจากการไฟฟ้าให้น้อยสุด หรือสามารถประหยัดไฟสูงสุดได้ถึง 38% ส่วนคอนโดมิเนียมได้ประยุกต์แนวคิด Smart City เข้ามาใช้ที่มุ่งเน้นเป็นคอนโดประหยัดพลังงาน แล้วยังเป็นการส่งเสริม Decarbonized Lifestyle โดยให้ลูกบ้านลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว โดยหันมาใช้ V MOVE หรือรถรับส่งพลังงานสะอาดไปต่อรถสาธารณะมากขึ้น
ทั้งนี้ เสนามีแผนเปิดโครงการคอนโด Low-Carbon เพิ่มขึ้น จึงเห็นว่า จำเป็นต้องมีเครื่องมือในการวัดค่าการสร้างหรือลดคาร์บอนที่ได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ เสนาจึงได้ร่วมมือกับพันธมิตร “Zeroboard” ซึ่งเป็นบริษัทสตาร์ทอัพจากญี่ปุ่น ที่ใช้คลาวด์เทคโนโลยีในการคำนวณและแสดงผลลัพธ์ของการสร้างคาร์บอน ที่สามารถวัดผลได้ทั้งในองค์กรหรือผลิตภัณฑ์ และมีประสบการณ์ความสำเร็จในการทดลองใช้ในเมืองใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ภาครัฐญี่ปุ่นมาแล้ว โดยนำมาใช้กับโครงการคอนโดของเสนา
จากการทดสอบที่นำแพลตฟอร์มของ “Zeroboard” ใช้ในการพัฒนาคอนโด Low-Carbon ของเสนาในโครงการ นิช โมโน เมกะ สเปซ บางนา เป็นโครงการขนาด 795 ยูนิต ซึ่งจำเป็นต้องมีการวัดผลก่อน โดยพบว่าหากไม่มีการใส่ระบบ หรืออินโนเวชั่นต่างๆ ในการช่วยประหยัดไฟ จะมีปริมาณคาร์บอนเกิดขึ้นถึง 1,130 ตันคาร์บอนต่อปี แต่เมื่อมีการนำระบบแพลตฟอร์มมาบริหาร ใช้วัสดุกันความร้อน ประหยัดไฟ ติดตั้งโซลาร์เซลล์ EV Station จะสร้างคาร์บอนเหลือเพียง 771 ตันคาร์บอนต่อปี และสุดท้ายคือการเพิ่มบริการแอปพลิเคชั่น Smart Mobility- V MOVE ที่เป็นบริการรถรับส่งพลังงานสะอาดจากโครงการไปยังรถไฟฟ้า ซึ่งถ้าทุกคนในคอนโดใช้บริการนี้จะสามารถลดคาร์บอนได้มากที่สุดถึง 85% หรือสร้างคาร์บอนเพียง 101 ตันคาร์บอนต่อปี ซึ่งเป็นเป้าหมายของเสนาฯ ในการส่งเสริมการสร้าง Decarbonized Lifestyle
ความร่วมมือกับ “Zeroboard” ครั้งนี้ เสมือนจุดเริ่มต้นของเป้าหมาย สำหรับแผนในปีนี้ที่เสนาเดินหน้าสู่เส้นทางด้านความยั่งยืน คือ The Road to Net Zero ที่เป็นบริษัทอสังหาฯ รายแรกที่ประกาศเป็น “Net Zero” โดยจะมีการเปิดโครงการคอนโด Low-Carbon ใน 5 โครงการ 4,000 ยูนิตในปีนี้ อาทิ คอนโดเฟล็กซี่ เมกะ สเปซ บางนา, บางโพ, เสนาคิทท์ สาทร-กัลปพฤกษ์ ระดับราคา 1-5 ล้านบาท รวมทั้งโครงการบ้านพลังงานเป็นศูนย์ ทุกทำเล เช่น คอนโด เฟล็กซี่ เมกะ สเปซ บางนา เป็นต้น
“เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการเลือกทำเรื่องนี้เป็นทิศทางที่ดีและส่งผลดีกับธุรกิจด้วย ในฐานะเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ นอกจากให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้นแล้ว ยังต้องคำนึงและใส่ใจกับความต้องการของผู้บริโภคในไทยเป็นเรื่องสำคัญด้วย โดยปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญเกี่ยวกับสินค้ารักษ์โลกมากขึ้น ทำให้เสนามุ่งมั่นและอยากทำเรื่องนี้ เพราะทุกแบบสำรวจและแบบประเมินพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่าผู้บริโภคคนไทยให้ความสนใจกับการเลือกซื้อสินค้าที่ผู้ผลิตใส่ใจกับการรักษ์โลก ก็หวังว่าผู้บริโภคจะซื้อสินค้าของเสนา หรือรักในผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์เสนา ที่ใส่ฟังก์ชั่นเข้าไปให้มากขึ้น” ผศ.ดร. เกษรา กล่าว
ดังนั้น “Zeroboard” ถือเป็นอีกเครื่องมือสำคัญ ที่จะช่วยชี้วัดความสำเร็จของเสนาในการให้บรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น บนการปฏิบัติตามหลักการที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมทั้งการคำนวณที่มีความแม่นยำ เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ด้วยการรับรองตามมาตรฐานสากล เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีประสิทธิภาพ (GHG)
ยอดขาย 7,894 ล้านบาท ลดลง 11% จากภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว และสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่เอื้อต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย แต่ยอดโอนกรรมสิทธิเพิ่มขึ้น 56% อยู่ที่ 6,568 ล้านบาท
ขณะที่ SENA มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 5,586 ล้านบาท โดยอยู่ระหว่างรอทยอยโอนกรรมสิทธิ์ปีนี้ประมาณ 2,714 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มบริษัทมีสินค้าคงเหลือสะสมทั้งสิ้นจำนวน 35,035 ล้านบาท ซึ่งจะมีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมขายและโอนกรรมสิทธิ์ รับรู้รายได้เลยในปีนี้ จำนวน 13,031 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยสร้างเสร็จภายใน 1-3 ปีข้างหน้า และในไตรมาส 4 มีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 10 โครงการ มูลค่า 16,506 ล้านบาท
ขณะเดียวกันในปีนี้ มีแผนเปิดโครงการทั้งหมด 24 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,782 ล้านบาท
โดยในครึ่งปีแรก 2566 เปิดไปแล้ว 6 โครงการ มีมูลค่าโครงการรวม 4,371 ล้านบาท
ส่วนแผนในครึ่งหลังปี 2566 เตรียมเปิดอีก 18 โครงการ รวมมูลค่า 24,411 ล้านบาท แบ่งเป็นไตรมาส 3/2566 จำนวน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5, 111 ล้านบาท และในไตรมาส 4/2566 จำนวน 10 โครงการ รวมมูลค่า 19,300 ล้านบาท
“คาดผลงานครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก จากแนวโน้มกำลังซื้อที่ฟื้นตัว สะท้อนยอดขายครึ่งปีแรกที่ทำไปแล้วกว่า 5.3 พันลบ. รวมถึงในช่วงที่เหลือของปี หากสถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนถึงการจัดตั้งรัฐบาล จะทำให้ผู้บริโภคมีความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อเพิ่มมากขึ้น” นางสาวอุมาพร ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนา ไอเดีย จำกัด เผย
สำหรับช่วงที่เหลือของปี 66 บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการแนวราบ-สูง อีก 16 โครงการมูลค่ารวมกว่า 1.5 หมื่นลบ.แบ่งเป็นคอนโด 13 โครงการ แนวราบ 3 โครงการ ในทำเล กม.29 ,รังสิต และเทพารักษ์-บางบ่อ พร้อมมั่นใจว่าผลประกอบการปี 66 จะเป็นไปตามเป้ายอดขาย 1.8 หมื่นลบ. ยอดโอน 1.6 หมื่นลบ. จาก Backlog ที่มีอยู่กว่า 7.3 พันลบ. คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องถึงปี 68
9 เดือน ปี 2566 รายได้รวม 2,767.96 ล้านบาท กำไรสุทธิ 275.13 ล้านบาท
ปี 2565 รายได้รวม 4,192.03 ล้านบาท กำไรสุทธิ 902.83 ล้านบาท
ปี 2564 รายได้รวม 3,191.21 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,250.42 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้รวม 4,236.89 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,119.42 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้รวม 5,297.59 ล้านบาท กำไรสุทธิ 890.05 ล้านบาท