ธุรกิจการตลาด

เอสซีจีมุ่งสู่FutureForwardปิโตรเคมี-ก่อสร้างรักษ์โลก-พลังงานสะอาด-AI 

17 ก.ย. 67
เอสซีจีมุ่งสู่FutureForwardปิโตรเคมี-ก่อสร้างรักษ์โลก-พลังงานสะอาด-AI 

เอสซีจีประกาศแผนกลยุทธ์ “Future Forward” เดินหน้ารับมือความท้าทายในอนาคต พร้อมเสริมแกร่งธุรกิจปิโตรเคมีในเวียดนาม มุ่งสร้างความสามารถในการแข่งขันระยะยาว ท่ามกลางวัฏจักรปิโตรเคมีที่มีแนวโน้มผันผวนต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์หลักคือการเร่งพัฒนานวัตกรรมสีเขียวในทุกกลุ่มธุรกิจ สอดคล้องกับแนวทาง Inclusive Green Growth

เอสซีจี มุ่งสู่ Future Forward ปิโตรเคมี-ก่อสร้างรักษ์โลก-พลังงานสะอาด-AI 

เอสซีจีมุ่งสู่FutureForwardปิโตรเคมี-ก่อสร้างรักษ์โลก-พลังงานสะอาด-AI 

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ชี้ให้เห็นถึงความผันผวนของสถานการณ์โลกในระยะ 2-5 ปีข้างหน้า ทั้งความท้าทายจากเศรษฐกิจและการค้าโลกที่อาจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงกฎเกณฑ์และโอกาสใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากกระแสรักษ์โลก เอสซีจีจึงปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ พร้อมลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตามแนวทาง Inclusive Green Growth เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน

หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญคือการเพิ่มศักยภาพของ เอสซีจี เคมิคอลส์ ซึ่งปัจจุบันสร้างรายได้คิดเป็น 39% ของรายได้รวมเอสซีจี โดยมุ่งเน้นที่การเสริมความแข็งแกร่งให้กับโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP) ในเวียดนาม เพื่อรับมือกับสถานการณ์อุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั่วโลกที่ยังคงอ่อนตัว และราคาน้ำมันดิบที่ผันผวนไม่หยุดหย่อน

หัวใจสำคัญของการเสริมแกร่ง LSP คือการเพิ่มความยืดหยุ่นด้านต้นทุนการผลิต ด้วยการเพิ่มทางเลือกการใช้วัตถุดิบ โดยจะนำก๊าซธรรมชาติอีเทน (Ethane) มาใช้เป็นวัตถุดิบเพิ่มเติมจากแนฟทา (Naphtha) และก๊าซธรรมชาติโพรเพน (Propane) ที่ใช้อยู่เดิม นอกจากราคาเฉลี่ยของอีเทนจะต่ำกว่าแนฟทาและโพรเพนถึง 40% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การใช้อีเทนยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และลดการเกิดผลิตภัณฑ์พลอยได้อีกด้วย

การปรับเปลี่ยนนี้ถือเป็นการต่อยอดจุดแข็งของ LSP ที่ออกแบบมาให้รองรับวัตถุดิบประเภทก๊าซอยู่แล้ว โดยมีระบบสาธารณูปโภคที่พร้อมรองรับการติดตั้งถังเก็บและท่อนำส่งก๊าซอีเทน คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างไม่เกิน 3 ปี และเมื่อแล้วเสร็จจะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตโอเลฟินส์และพอลิโอเลฟินส์ ซึ่งเป็นที่ต้องการสูงในตลาดเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอลิเอทิลีนและพอลิโพรพิลีนที่ใช้ในผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคต่างๆ นอกจากนี้ LSP ยังสามารถรองรับการผลิตนวัตกรรมพลาสติกรักษ์โลกอย่าง SCGC GREEN POLYMERTM ในอนาคต ซึ่งจะช่วยตอบรับเทรนด์รักษ์โลกและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนทั้งในเวียดนามและอาเซียน

LSP มีกำหนดเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนตุลาคม 2567 โดยให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เอสซีจีมุ่งสู่FutureForwardปิโตรเคมี-ก่อสร้างรักษ์โลก-พลังงานสะอาด-AI 

[เอสซีจี เดินหน้าธุรกิจก่อสร้าง-ที่อยู่อาศัยรักษ์โลก มุ่งสู่ผู้นำตลาดคาร์บอนต่ำ]

ด้านธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างและที่อยู่อาศัย  เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน มุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจก่อสร้างและที่อยู่อาศัยที่ยั่งยืน ด้วยการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันเพื่อรองรับมาตรการภาษีคาร์บอนที่กำลังบังคับใช้ในหลายประเทศ โดยธุรกิจได้ดำเนินการลดคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดกระบวนการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อทิศทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังสร้างโอกาสการเติบโตจากนโยบายสนับสนุนการใช้ปูนคาร์บอนต่ำ ที่ผ่านมา เอสซีจีประสบความสำเร็จในการส่งออกปูนคาร์บอนต่ำไปยังสหรัฐอเมริกาแล้วมากกว่า 1 ล้านตัน และยังขยายตลาดไปยังอาเซียน ออสเตรเลีย และแคนาดาได้อีกด้วย

เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำ เอสซีจีเร่งผลักดันการวิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันกำลังพัฒนาปูนคาร์บอนต่ำ เจเนอเรชัน 3 ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่สามารถเพิ่มสัดส่วนการทดแทนปูนเม็ดในการผลิต ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 40-50% เมื่อเทียบกับปูนซีเมนต์ประเภทเดิม นอกจากนี้ ยังเร่งขยายกำลังการผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและสร้างฐานการส่งออกในอนาคต

ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง จะมุ่งพัฒนาวัสดุก่อสร้างคาร์บอนต่ำ ที่มีทั้งความสวยงาม แข็งแรงทนทาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยในการออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งพัฒนากระบวนการผลิตด้วยการเพิ่มการใช้หุ่นยนต์ เพื่อลดของเสียและบริหารต้นทุนให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดที่มีผู้เล่นรายใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น เช่น จีน นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายตลาดวัสดุก่อสร้างไปยังอินเดียและตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง และอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญคือการเพิ่มสัดส่วนสินค้างานระบบที่ตอบโจทย์การก่อสร้างเร็วและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยเฉพาะระบบผนังและระบบหลังคาที่มีนวัตกรรมช่วยประหยัดพลังงาน กันร้อน และกันเสียง พร้อมทั้งมีดีไซน์ที่หลากหลาย ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการและสไตล์ของบ้าน

นอกจากนี้ เอสซีจียังเดินหน้าสร้าง New S-curve ด้วยสมาร์ทโซลูชันจากแบรนด์ ‘ออนเนกซ์ (ONNEX)’ ซึ่งผสานความเชี่ยวชาญของเอสซีจีเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อยกระดับการอยู่อาศัยในทุกมิติ ทั้งระบบบำบัดอากาศเสีย ‘Air Scrubber’, โซลูชันพลังงานสะอาด ‘Solar Hybrid Solutions’, และระบบดูแลคุณภาพอากาศ ‘Bi-on’ ในอนาคต ออนเนกซ์ยังมีแผนเพิ่มโซลูชันดูแลผู้สูงอายุ เพื่อตอบรับเทรนด์สังคมผู้สูงอายุ และเตรียมเชื่อมต่อทุกโซลูชันเข้ากับแพลตฟอร์มเดียว ผ่านระบบปฏิบัติการดิจิทัล ‘Trinity’ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน

ในส่วนของ เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล ได้นำดิจิทัลแพลตฟอร์มและ AI มาใช้ยกระดับระบบจัดจำหน่ายสินค้า เพื่อให้ลูกค้าและคู่ค้าเข้าถึงสินค้าได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมทั้งช่วยลดระยะเวลาการเก็บสินค้าคงคลังและคาดการณ์ความต้องการสินค้าในอนาคต ตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชัน ‘Prompt Plus’ ที่ช่วยวิเคราะห์และนำเสนอสินค้าตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า (Personalized Recommendations) เพื่อการบริหารจัดการสินค้าคงคลังของผู้แทนจำหน่ายและร้านค้ารายย่อยให้มีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายธุรกิจก่อสร้างและที่อยู่อาศัยรักษ์โลกไปยังตลาดที่มีศักยภาพสูง เช่น การนำเสนอคอนกรีตผสมแบบพร้อมใช้ ‘CPAC Ready Mix’ และ ‘CPAC 3D Printing Solution’ เข้าสู่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการก่อสร้างและลดของเสียหน้างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

[เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ บุกตลาดพลังงานสะอาดอาเซียน ตั้งเป้า 3,500 เมกะวัตต์ พร้อมนำ AI ขับเคลื่อนธุรกิจ]

เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ เดินหน้าขยายธุรกิจพลังงานสะอาดเต็มสูบในอาเซียน ทั้งเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มุ่งสู่เป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 3,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 ด้วยจุดแข็งด้านนวัตกรรมและโซลูชันพลังงานสะอาดครบวงจรระดับโลก ครอบคลุมตั้งแต่ระบบบริหารจัดการ การผลิต การจัดเก็บพลังงาน (Energy Storage System) ไปจนถึงการจำหน่ายไฟฟ้า ผ่านแพลตฟอร์มพลังงานสะอาด ‘Smart Micro Grid’ และ ‘แบตเตอรี่กักเก็บพลังงานความร้อนจากพลังงานสะอาด (Heat Battery)’ ซึ่งกำลังก่อสร้างยูนิตแรกของโลกสำหรับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ที่โรงงานปูนซีเมนต์ เอสซีจี จ.สระบุรี

นอกจากนี้ เอสซีจียังเสริมแกร่งด้วยการลงทุนในบริษัทพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง 'นวัตกรรมการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์แบบ Tandem Perovskite' ซึ่งถือครองสิทธิบัตรจำนวนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพื่อพัฒนาเซลล์พลังงานแสงอาทิตย์ที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 30% ทำให้ภาคอุตสาหกรรมเข้าถึงพลังงานสะอาดได้ง่ายขึ้น

แม้จะรุกขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง แต่เอสซีจียังคงยึดมั่นในการบริหารจัดการทางการเงินอย่างรอบคอบ โดยจะพิจารณาการลงทุนอย่างระมัดระวัง ภายใต้งบประมาณการลงทุนปีละ 40,000 ล้านบาท และมุ่งลดเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ 10-15% ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน พร้อมทั้งมุ่งเน้นธุรกิจที่มีศักยภาพและปิดธุรกิจที่ไม่ทำกำไร โดยหมุนเวียนทรัพยากรและกำลังคนไปยังธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูงกว่า ปัจจุบัน เอสซีจีมีเงินสดคงเหลือ 78,907 ล้านบาท ณ สิ้นครึ่งแรกของปี

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวเสริมว่า เอสซีจีกำลังเร่งพัฒนาขีดความสามารถทางเทคโนโลยี โดยนำ AI มาขับเคลื่อนธุรกิจในทุกมิติ พร้อมสนับสนุนให้พนักงานทุกคนทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างเข้าใจและนำไปต่อยอด เพื่อสร้างศักยภาพธุรกิจในระยะยาว ปัจจุบันมีหลายโครงการที่เริ่มดำเนินการและอยู่ในแผนพัฒนา เช่น การใช้ AI เป็นผู้ช่วยส่วนตัวในการเลือกซื้อสินค้าเรื่องบ้าน หรือการใช้ AI ในการดูแลและซ่อมบำรุงเครื่องจักร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

เอสซีจีมุ่งสู่FutureForwardปิโตรเคมี-ก่อสร้างรักษ์โลก-พลังงานสะอาด-AI 

["สระบุรีแซนด์บ็อกซ์" ต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำ นำไทยสู่เศรษฐกิจสีเขียว]

เอสซีจี จับมือภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ขับเคลื่อน ‘สระบุรีแซนด์บ็อกซ์’ เมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน 5 มิติหลัก ได้แก่

  1. เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด โดยใช้ศักยภาพของพื้นที่และสายส่งที่มีอยู่ ผ่านระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Grid Modernization)
  2. มุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีการปล่อยคาร์บอนต่ำ
  3. สร้างมูลค่าเพิ่มจากของเหลือใช้ ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน
  4. การทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ลดการใช้น้ำและลดการปล่อยคาร์บอนจากภาคเกษตรกรรม
  5. เพิ่มพื้นที่สีเขียวและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

นอกจากนี้ ยังมุ่งแสวงหาทุนสีเขียว (Green Funding) จากต่างประเทศ เพื่อนำมาพัฒนานวัตกรรมคาร์บอนต่ำ เช่น เทคโนโลยีดักจับและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (CCUS) เพื่อสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของจังหวัดสระบุรีให้ได้ 5 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ภายในปี 2573 และสนับสนุนอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวสรุปว่า "เอสซีจีให้ความสำคัญกับการติดตามสถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด ทั้งด้านเศรษฐกิจ ภูมิศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อนำมาวิเคราะห์และวางแผนรับมือกับความท้าทายต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที เราไม่เพียงมุ่งสร้างความสามารถในการแข่งขันที่แข็งแกร่งในทุกระยะ แต่ยังให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน และการขยายธุรกิจไปสู่โอกาสใหม่ๆ ที่มีศักยภาพสูง เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง"

เอสซีจี กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงด้วยกลยุทธ์ "Future Forward" ที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการปรับตัวทางธุรกิจ การลงทุนในนวัตกรรมสีเขียว และการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพทางการเงินและการบริหารความเสี่ยง ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ความยั่งยืน ด้วยโครงการต้นแบบอย่าง "สระบุรีแซนด์บ็อกซ์" และการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT