ประเมินมูลค่า Bitcoin ตลาดขาขึ้นรอบนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน?

ราคา Bitcoin สามารถที่จะสร้างจุดสูงสุดใหม่ (ATH) ได้สำเร็จที่ระดับเหนือ 69,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่ราคาขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ก่อนที่จะเกิด Bitcoin Halving

 คำถามคือหลังจากนี้ราคา Bitcoin จะขึ้นไปถึงเท่าไรกัน?? 

สาเหตุหลักที่ทำให้ Bitcoin ปรับตัวขึ้นได้แรงต่อเนื่องน่าจะมาจากแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันและรายย่อยผ่านกองทุน Bitcoin ETF ที่ได้รับการอนุมัติไปในช่วงต้นปี 2024 ขณะที่ซัพพลายหรือจำนวน Bitcoin ที่อยู่ในตลาดรองซึ่งสามารถซื้อขายได้มีจำนวนที่ลดลงอย่างมากเนื่องจากนักลงทุนส่วนหนึ่งได้ถอนออกจาก Exchange มาเก็บไว้กับตัวเองแล้ว

การที่มีแรงซื้อ Bitcoin เข้ามาอย่างหนาแน่นน่าจะเป็นการกว้านซื้อ Bitcoin มาไว้กับตัวก่อนที่จะเกิด Halving ซึ่งจะทำให้ซัพพลายใหม่ของ Bitcoin ที่เกิดขึ้นมาจากการขุดต่อวันลดลงอีกครึ่งหนึ่งจาก 900 BTC ต่อวันมาเหลือ 450 BTC ต่อวัน ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอต่อความต้องการของนักลงทุนรายใหญ่ที่มีเม็ดเงินจำนวนมหาศาล

มีบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจจาก CryptoQuant ประเมินว่า Bitcoin จะเข้าสู่ภาวะ Supply Shock หรือไม่มี Bitcoin ให้ซื้อได้ในตลาดรองได้ภายใน 6 เดือน โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา กองทุน Bitcoin ETF ได้เข้าซื้อ Bitcoin กว่า 30,000 BTC เทียบกับจำนวน Bitcoin ที่อยู่ในตลาดรองใน Exchange และผู้ขุดเหมือง จำนวน 3 ล้าน BTC รวมถึง 1.5 ล้าน BTC ที่ถือครองโดยบริษัทฯในสหรัฐฯ รวมแล้ว 4.5 ล้าน BTC ที่สามารถจะซื้อขายได้

ถ้าหาก Bitcoin ETF ยังเข้าซื้อในอัตราดังกล่าวอาจจะได้เห็นวิกฤตการขาดสภาพคล่องของ Bitcoin ในตลาดรองภายใน 6 เดือน นี้อาจเป็นสาเหตุที่แรงซื้อจากกองทุน ETF ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้หากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯเริ่มที่จะเข้าสู่ภาวะผ่อนคลายหรือลดดอกเบี้ยน่าจะมีสภาพคล่องบางส่วนที่ไหลออกมาลงทุนใน Bitcoin เพิ่มเติมอีกซึ่งจะเป็นการดันราคาให้สูงขึ้นได้อีก

สำหรับเป้าหมายราคา Bitcoin ในรอบขาขึ้นนี้จะอยู่ที่เท่าไร สถิติในอดีตบอกว่าการเติบโตของ Bitcoin ในทุกรอบ Halving จะลดลงเรื่อยๆ เราจึงไม่สามารถคาดหวังการเติบโตระดับหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ได้เหมือนในอดีต ถ้าหากใช้การวิเคระาห์ทางเทคนิคการใช้ประเมินราคาเป้าหมายในระดับ Base Case หรือระดับที่มีความเป็นไปได้อาจจะอยู่ที่ระดับตั้งแต่ 100,000-150,000 ดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากตลาดการเงินของสหรัฐฯมีความผิดปกติ เราอาจจะได้เห็นการปรับตัวขึ้นของ Bitcoin ที่สูงกว่า Base Case ไม่ว่าจะเป็นการลดดอกเบี้ยในอัตราที่เร็วกว่าคาดไปจนถึงเหตุการณ์ Blackswan ที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดคิดอย่างเช่นการ กลับมาทำ QE อีกรอบ จะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดแรงซื้อใน Bitcoin เพิ่มมากขึ้น

ปัจจุบันนี้รัฐบาลสหรัฐฯมีปัญหาหนี้ภาคการคลังที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯยังต้องออกพันธบัตรออกมาระดมทุนเพิ่มเติมรวมถึงอาจต้องใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินเพิ่มเติมซึ่งจะยิ่งกดค่าเงินดอลลาร์ลงมาได้อีก ถ้าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ อาจได้เห็นราคา Bitcoin ในระดับที่สูงกว่า 200,000 ดอลลาร์ ขึ้นไปได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตามราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆจะยิ่งมีความผันผวนมากขึ้น โดยต้นทุนของผู้ที่ลงทุน Bitcoin ผ่าน ETF  ในช่วงที่ผ่านมาอยู่ที่ค่าเฉลี่ย 50,000 ดอลลาร์ การที่ราคาในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 70,000 ดอลลาร์ แม้จะมีกำไรแต่อาจยังไม่จูงใจมากพอที่จะทำให้มีแรงเทขายหนักๆเข้ามา

แต่ถ้าราคาขึ้นไปสูงมากกว่านี้ อาจจะเกิดแรงเทขายหนักๆเข้ามาจนทำให้เกิดการปรับฐานในระดับ 15-30% ได้เช่นกัน ดังนั้นนักลงทุนจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงรวมถึง Money Management ควบคู่ไปด้วยกัน แม้แนวโน้มหลักของ Bitcoin ยังเป็นขาขึ้นก็ตาม

มีความเป็นไปได้สูงว่าขาขึ้นของ Bitcoin ในครั้งนี้จะเป็นการพุ่งสูงขึ้นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่มี Bitcoin ซื้อขายมากว่า 15 ปี และถ้ามีนักลงทุนสถาบันที่เน้นการลงทุนระยะยาวเข้ามาลงทุนไม่ว่าจะเป็นกองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนมั่งคั่งแห่งชาติหรือแม้แต่ธนาคารกลางของบางประเทศมาเข้ามาลงทุนใน Bitcoin ก็อาจทำให้มูลค่าของ Bitcoin ปรับตัวขึ้นไปได้อีกมาก เรามาติดตามฉากต่อไปของ Bitcoin กันว่าจะเติบโตไปในทิศทางใด