หลังจากเงินไหลเข้า Bitcoin ETF จำนวนมากกว่า 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐตลอดช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ราคาของ Bitcoin ก็ปรับตัวขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งจนมาแตะราคา All Time High เก่าที่ $69,000 ได้ในวันที่ 5 มีนาคม 2024 และพุ่งทะลุขึ้นไปทำ All Time High ใหม่ได้ที่ $73,777 ในวันที่ 14 มีนาคม โดยแรงผลักดันสำคัญก็คือแรงซื้อจาก Bitcoin ETF ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะของวันที่ 12 มีนาคมที่มีแรงซื้อสุทธิกว่า 1,045 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือคิดเป็นประมาณ 18% ของทั้งเดือนกุมภาพันธ์เลยทีเดียว
ที่มา https://farside.co.uk/?p=997
แต่หลังจากนั้นแรงซื้อก็ค่อยๆ ลดลง แต่ยังคงมีแรงขายจากผู้ถือ GBTC ของ Grayscale อย่างต่อเนื่องทำให้ในช่วงวันที่ 18-20 มีนาคม ปริมาณเงินไหลเข้าสุทธิ (Net Inflow) เป็นลบติดต่อกัน 3 วัน พร้อมกับความกังวลท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐที่อาจไม่ได้ลดดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ในปีนี้เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้ออาจจะเริ่มกดไม่ลงถึงเป้าหมาย 2% ตามที่ FED คาดการณ์ไว้ ทำให้เป็นแรงกดดันและส่งผลต่อ Sentiment ของตลาดในทางลบ ซึ่งคาดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคา Bitcoin ปรับตัวลงจาก All Time High กว่า 17.5% ในช่วงเวลาดังกล่าวจนราคาลงไปแตะที่ประมาณ $62,000
แต่เมื่อตลาดได้รับความชัดเจนจาก FED DOT PLOT ในการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 20 มีนาคมแล้วว่าจะมีการลดดอกเบี้ย 3 ครั้งเหมือนเดิม ตลาดก็เริ่มคลายกังวลและปรับตัวสวนกลับขึ้นมาที่ราคาประมาณ $68,000 แต่อย่างไรก็ตาม Net Inflow ก็ยังคงเป็นลบแม้จะได้รับความชัดเจนแล้วซึ่งทำให้ Net Inflow กลายเป็นลบ 5 วันติดต่อกัน
ที่มา https://ycharts.com/companies/GBTC/discount_or_premium_to_nav
สาเหตุที่ GBTC ถูกเทขายอย่างต่อเนื่องก็เพราะ GBTC ถูกซื้อขายกันที่ราคาต่ำกว่า NAV กันมานานหลายปีโดยเคยซื้อขายกันที่ Discount มากสุดถึง -48.89% ในวันที่ 13 ธันวาคม 2022 ซึ่งผู้ที่ซื้อกันที่ราคา Discount โดยเก็งว่า Spot ETF จะถูกอนุมัติก็จะได้กำไรกันเยอะกว่าการซื้อ BTC ปกติและในปัจจุบันทาง Grayscale ก็มีการเก็บค่าธรรมเนียมมากที่สุดอยู่ที่ 1.5% แต่กองทุนอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมหรือถ้าเป็น BlackRock ก็ยังเก็บแค่ 0.12% เท่านั้น ทำให้ทางเรามองว่าแรงขายจาก GBTC ที่มีอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นการโยกย้ายไปที่กองทุนอื่นๆ ที่มีค่าธรรมเนียมน้อยกว่าหรือไม่ก็เป็นการขายทำกำไรปกติ
ทำให้ตอนนี้สิ่งที่ต้องจับตาหลักๆ คือ ปริมาณเงินไหลเข้าสุทธิ (Net Inflow) ว่าจะทรงตัวหรือกลับมาเป็นบวกได้เหมือนเดิมเมื่อไร เพราะถ้า Net Inflow ยังคงเป็นลบต่อเนื่องและยิ่งหากเป็นปริมาณมากกว่าเดิมด้วยก็จะยิ่งทำให้ตลาดเริ่มกลัวมากกว่าเดิมและสามารถทำให้ราคาลงต่อได้
ที่มา : https://app.whalemap.io/analytics/BTC/LWIN
โดยถ้าราคามีการลงต่อและหลุดราคา $62,000 ที่เคยเป็นแนวรับก่อนหน้านี้ได้ก็มีแนวโน้มว่าราคาจะลงไปถึงที่ราคาประมาณ $50,000-$52,000 ได้เพราะจากข้อมูลของ Whalemap ชี้ให้เห็นว่าช่วงราคาแถวๆ $62,000 มีผู้เล่นรายใหญ่ (Bitcoin Whales) ซื้อ Bitcoin กันเป็นจำนวนมากจึงทำให้ราคานี้ถือเป็นแนวรับสำคัญที่แข็งแรงได้ แต่ถ้า Net Inflow สามารถทรงตัวได้ก็เป็นไปได้ว่าราคา Bitcoin จะวิ่งในกรอบ Sideway ที่ราคา $62,000-$73,000 เพื่อรอเลือกทาง
แต่ในระยะยาวทางเรายังคง “มองบวก” เนื่องจากในอีกประมาณ 1 เดือนข้างหน้าจะมีเหตุการณ์สำคัญที่เป็นปัจจัยบวกของ Bitcoin เกิดขึ้นซึ่งก็คือ Bitcoin Halving ที่จะทำให้ปริมาณ BTC ที่เกิดขึ้นจากการขุดลดลงครึ่งหนึ่ง โดยในปัจจุบันอัตราการเกิดใหม่ของ Bitcoin อยู่ที่ประมาณ 900 BTC ต่อวัน และเมื่อเกิด Bitcoin Halving อัตราการเกิดใหม่ของ Bitcoin จะเหลือ 450 BTC ต่อวันหรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวันเท่านั้น (พิจารณาราคา BTC ที่ราคา $66,500)
ในขณะที่ Net Inflow ในช่วงที่ผ่านมาของ Bitcoin ETF เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4000 BTC ต่อวันหรือประมาณ 265 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าอัตราการเกิดใหม่ของ Bitcoin อยู่พอสมควร ทำให้หาก Bitcoin ที่ถูกผลิตออกมาในแต่ละวันถูกนำมาขายทั้งหมดก็ยังมีแรงซื้อเหล่านี้คอยซับแรงขายให้ได้ทั้งหมด และแม้ว่าในอนาคตหาก Net Inflow เฉลี่ยดังกล่าวลดลงจากเดิม 85% ก็ยังเพียงพอที่จะซับแรงขายนั้นอยู่ดี
ที่มา https://www.coinglass.com/Balance
อีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจคือข้อมูลปริมาณ Bitcoin ในศูนย์ซื้อขายต่างๆ ทั่วโลก (Centralized Exchanges) ที่รายงานโดย Coinglass ที่หากนำมาพิจารณาจะเห็นได้ว่าแม้ว่าในปัจจุบัน Bitcoin ถูกขุดออกมาเป็น Circulating Supply เกิน 90% ของ Max Supply ที่ 21,000,000 BTC แล้ว แต่ปริมาณ Bitcoin ที่อยู่ใน Centralized Exchange มีให้ซื้อขายกันเพียง 1,800,000 BTC หรือคิดเป็นเพียง 9.15% ของ Circulating Supply เท่านั้น
ข้อมูลดังกล่าวสื่อถึงสภาพคล่องของ Bitcoin ที่ค่อยๆ ลดลงเพราะคนส่วนมากซื้อแล้วนำออกไปเก็บเองหรือบางส่วนก็สูญหายไปทำให้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้เกิด Supply Shock และทำให้ราคาปรับตัวขึ้นได้หากมีเม็ดเงินไหลเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะผ่าน Bitcoin ETF หรือจากรายย่อยผ่าน Centralized Exchange ทั่วโลกก็ตาม
โดยสำหรับฝั่งเม็ดเงินที่จะไหลเข้ามาจาก Bitcoin ETF นั้น หากพิจารณา Asset Under Management (AUM) ของเพียงแค่ของ BlackRock และ Fidelity รวมกันอยู่ที่ราว 13 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ปริมาณ Bitcoin ที่เหลือให้ซื้อขายใน Exchange มีมูลค่าเพียงประมาณ 120,000 ล้านดอลลาร์หรือประมาณ 1% ของ AUM ทั้งสองเจ้าเท่านั้น ทางเรามองว่าเงินจะค่อยๆ ไหลเข้ามาและดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกได้และจะเป็นผลบวกต่อราคาได้อย่างดีในระยะยาว
นอกจากนี้ทางเรามองว่าตอนนี้ Bitcoin กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนมือผู้เล่นเพราะสถาบันการเงินและผู้เล่นจากทางฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ พึ่งจะได้มีโอกาสในการซื้อ Bitcoin ผ่าน ETF และข้อมูลจาก Whalemap ที่ได้กล่าวไปข้างต้น เราอาจมองได้ว่า Bitcoin Whales ที่เข้าซื้อ Bitcoin ช่วงราคา $60,000 ขึ้นไปนั่นก็คือเหล่าสถาบันการเงิน ทำให้ในตอนนี้ทางเรามองว่าสถานการณ์ตลาดในปัจจุบันยังห่างไกลคำว่าฟองสบู่อยู่มากเพราะสถาบันเข้ามาในช่วงต้นทุนที่ค่อนข้างสูงแล้วและตลาดยังไม่ได้ร้อนแรงเท่าไรนัก ซึ่งนี่อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ Bull Run ในรอบนี้เท่านั้นที่ยังคงมีพื้นที่ให้เติบโตอีกพอสมควร
บทวิเคราะห์โดย: นายอภินัทธ์ เดชดอนบม นักวิเคราะห์ Cryptomind Advisory