เหตุการณ์ Black Monday วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม 2567 ทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกปั่นป่วนจากการ Unwind เงินลงทุนที่กู้เงินเยนไปทำ Yen Carry Trade รวมถึงความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อาจจะเกิดภาวะ Hard Landing ทำให้ราคา Bitcoin ร่วงลงมาต่ำกว่า 50,000 ดอลลาร์ ช่วงสั้นๆ คำถามคือตลาดคริปโตจะเป็นอย่างไรต่อไป ?
คำตอบสั้นๆคือผลกระทบที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเพียงแค่ระยะสั้นเท่านั้นและ Bitcoin ยังอยู่ในเส้นทางของการเดินหน้าสู่การสร้างจุดสูงสุดใหม่
เหตุผลเพราะตลาดน่าจะตอบสนองกับเม็ดเงินที่กู้เงินเยนไปทำ Carry Trade จนหมดแล้วและน่าจะมีส่วนน้อยที่กู้ไปลงทุนใน Bitcoin ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯไม่น่าที่จะเกิดภาวะ Hard Landing เพราะตัวเลขอัตราการว่างงานที่พุ่งแตะ 4.3% น่าจะเป็นแค่ผลกระทบระยะสั้นจากการที่มีพายุเฮอร์ริเคนเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม คาดว่าหลังจากนี้การจ้างงานจะเข้าสู่ภาวะปกติ
ด้วยเหตุผลที่ว่ามานี้ ตลาดการเงินในภาพรวมไม่น่าจะเกิด After Shock ที่แรงและยาวนานไปกว่านี้ตลอดจนปัจจัยลบที่เกิดขึ้นไม่ได้มีผลโดยตรงต่อตลาดคริปโต แต่แรงขายใน Bitcoin ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะการปรับพอร์ตของนักลงทุนที่ตอนนี้ได้รวม Bitcoin มาเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตลงทุนแล้ว
คาดว่าหลังจากที่ความกังวลได้ผ่อนคลายลง Bitcoin และตลาดคริปโตน่าจะกลับมาฟื้นตัวต่อได้จากปัจจัยบวกที่รออยู่ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการส่งเสริมคริปโตจากผู้สมัครประธานาธิบดีทั้งสองพรรคซึ่งจะส่งผลบวกต่ออุตสาหกรรมคริปโตในสหรัฐฯระยะกลางถึงยาว
โดยโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวในงาน Bitcoin Conference ที่เพิ่งผ่านไปว่าจะทำให้สหรัฐฯจะเป็นเมืองหลวงของโลกคริปโตโดยจะสร้างคลังสำรองเชิงกลยุทธ์สำหรับ Bitcoin และรัฐบาลสหรัฐฯจะไม่มีการขาย Bitcoin ที่ถือครองอยู่ ในงานเดียวกัน วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ Cynthia Lummis เสนอร่างกฎหมายให้รัฐบาลสหรัฐฯ ซื้อ Bitcoin สัดส่วน 5% และถือครองไว้เป็นเวลาอย่างน้อย 20 ปี
โดยร่างกฎหมายนี้ผ่าน จะใช้เวลา 5 ปีในการดำเนินการ โดยรัฐบาลสหรัฐฯ มีเป้าหมายซื้อ Bitcoin 1 ล้าน BTC ซึ่งคิดเป็นประมาณ 5% ของจำนวน Bitcoin ทั้งหมด 21 ล้าน BTC
ขณะที่ฝั่ง กะมาลา แฮร์ริส ได้ให้ตัวแทนพรรคเดโมแครตเรียกผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมคริปโตของสหรัฐฯไม่ว่าจะเป็น Coinbase ,Circle และ Ripple มาหารือเพื่อที่จะช่วยปรับแก้ไขกฎหมายที่จะมุ่งส่งเสริมมากกว่าการกำกับดูแล จึงเห็นได้ว่าไม่ว่าตัวแทนของพรรคใดขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีก็จะส่งผลดีต่อตลาดคริปโตทั้งหมดทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง
รวมถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐฯที่น่าจะลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปค่อนข้างแน่นอนและน่าจะเป็นการลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องจากการที่คงดอกเบี้ยในระดับสูงจนอาจสร้างผลเสียทางเศรษฐกิจซึ่งจะทำให้มีสภาพคล่องบางส่วนเข้ามาลงทุนในตลาดคริปโต
การที่ราคา Bitcoin และ Altcoin ปรับตัวลงมาค่อนข้างแรงในช่วงที่เกิด Black Monday จึงมองเป็นโอกาสที่จะเข้าลงทุนเพื่อหวังผลในระยะกลางถึงยาว นอกจากปัจจัยบวกสำคัญสองข้อยังมีข้อมูล On Chain สำคัญที่ยืนยันว่าพื้นฐานของ Bitcoin ยังมีความแข็งแกร่ง
โดย CryptoQuant เปิดเผยข้อมูลว่าผู้ที่ถือครอง Bitcoin ตั้งแต่ 1,000 BTC ขึ้นไปอย่าฝอย่างเช่นกองทุน Bitcoin Spot ETF มีการรับ Bitcoin เข้ามาเก็บไว้ตั้งแต่ต้นปีนี้รวมกัน 1.8 ล้าน BTC เปรียบเทียบกับช่วงปี 2021 ที่มีการไหลเข้า 70,000 BTC ตลอดทั้งปี แต่ปีนี้มีการไหลเข้ากว่า 100,000 BTC ต่อสัปดาห์ บ่งบอกว่านักลงทุนระดับวาฬยังคงทะยอยเข้าเก็บ Bitcoin อย่างต่อเนื่องซึ่งจะช่วยหนุนราคาได้อย่างดี
ทั้งนี้ยังมีสถิติว่าถ้าหากพรรครีพับริกันขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯมักจะอ่อนค่าลงจากนโยบายที่มุ่งเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจและลดภาษี ซึ่งค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะส่งผลดีต่อราคา Bitcoin แต่ถ้าตัวแทนพรรคเดโมแครตขึ้นมานั่งเป็นประธานาธิบดี ค่าเงินดอลลาร์ มักจะแข็งค่าซึ่งอาจส่งผลลบต่อ Bitcoin
ภาพรวมของตลาดคริปโตหลัง Black Monday จึงออกไปในทิศทางเชิงบวกมากกว่าลบ และการที่ตลาดถูกเทขายลงมาอาจมองว่าเป็น Black Swans หรือเหตุการณ์เชิงลบที่คาดไม่ถึงได้ผ่านไปแล้ว เส้นทางจากนี้จึงอาจไม่มีปัจจัยลบมากนัก
ถ้าหากจะมีปัจจัยลบที่ต้องจับตา อาจจะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐฯที่ยังมีความเสี่ยงที่จะเติบโตลดลงซึ่งอาจส่งผลต่อนักลงทุนสถาบันที่ต้องเทขาย Bitcon เพื่อปรับพอร์ตลงทุนเท่านั้น ภาพรวมถือว่าช่วงเวลานี้น่าสนใจในการสะสม Bitcoin และ Altcoin พื้นฐานดีในระยะยาว
หมายเหตุ บทความนี้ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน