ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เดือนพ.ค.65 อยู่ที่ระดับ 40.2 ลดลงจากเดือนเม.ย.65 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 40.7 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 34.3, ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ อยู่ที่ 37.8 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 48.5
อย่างไรก็ตาม ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่าผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคตอย่างมาก เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันและค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนยังคงกังวลในวิกฤตโควิด-19 ในประเทศไทยและทั่วโลกที่ยังคงมีอยู่แม้ว่าจะคลายตัวลงก็ตาม ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าในอนาคต
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค. 65 ต่ำกว่าระดับปกติทุกรายการ และปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ผลจากเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่ฟื้นตัว และรายได้ประชาชนยังไม่ขยายตัว อยู่ระดับทรงตัวต่ำ และการจ้างงานยังไม่กลับมา
ทั้งนี้ ผู้บริโภคยังมีความกังวลเรื่องปัญหาค่าครองชีพ ที่มีดัชนีต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่มีการสำรวจมา 17 ปี 1 เดือน แต่ที่น่ากังวลหนักกว่านั้น คือเรื่องรายได้ ซึ่งดัชนีต่ำสุดในรอบ 23 ปี 8 เดือน เป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจปรับตัวลดลง มีผลต่อภาคการส่งออก ทำให้ภาวะเศรษฐกิจไทยยังคงไม่ดี และเป็นตัวบั่นทอนทางเศรษฐกิจ และยังคงเห็นว่าต้องหาแนวทางทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวในไตรมาสที่ 3 อย่างเห็นได้ชัดก่อนปรับขึ้นดอกเบี้ย
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า สัปดาห์หน้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จะมีการปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทย ซึ่งขณะนี้ยังประเมินกรอบ GDP ปีนี้ไว้ที่ 2.5-3.5% โดยสถานการณ์ปัจจุบันยังมีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ แต่มีโอกาสที่จะปรับลดประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจลงได้
ส่วนมุมมองเกี่ยวกับดอกเบี้ยนโยบายของไทย หลังมติกนง.เสียงแตก 4:3 คงดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% นายธนวรรธน์ มองว่า "หาก กนง.ขึ้นดอกเบี้ย น่าจะขึ้น 0.25% และขึ้นอยู่กับว่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยกี่ครั้ง ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยอาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวได้ระดับหนึ่ง ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ย 0.25% จะส่งผลให้เศรษฐกิจย่อตัวลง 0.1% ได้ และกดเงินเฟ้อลงได้ 0.2-0.3% แต่สิ่งสำคัญ คือจะปรับขึ้นดอกเบี้ยกี่ครั้ง และผลทางจิตวิทยา จะมีผลต่อการลดการจับจ่ายใช้สอยหรือมีผลต่อต้นทุนหรือไม่ ยังเป็นสิ่งที่เห็นภาพไม่ชัด" นายธนวรรธน์ กล่าว
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย มองว่า การขึ้นดอกเบี้ยยังไม่ใช่คำตอบชัดเจนในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ เป็นเพียงการสกัดกั้นในเชิงจิตวิทยา แต่การชะลอเงินเฟ้อได้ดีที่สุด คือการใช้นโยบายด้านการคลังในการดูแลราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ขณะเดียวกัน รัฐบาลใช้นโยบายเงินบาทอ่อนจะช่วยส่งเสริมการส่งออก และการท่องเที่ยว ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้
ที่มา
https://cebf.utcc.ac.th/upload/index_file/file_th_520d09y2022.pdf
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
กนง. เสียงแตก 4 ต่อ 3 "รอบนี้คงดอกเบี้ย 0.5%" รอบหน้าไม่แน่?
เงินเฟ้อไทยเดือนพ.ค.พุ่ง7.1%สูงสุดในรอบ 13 ปีจากพลังงาน อาหารปรับขึ้น