น้ำมันโลกพุ่งเกือบ 6% นักวิเคราะห์กังวล อาจส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อ

จับตาราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มจะกลับมาสูงอีกครั้ง โดยราคาดิบโลก พุ่งเกือบ 6 % หรือกว่า 4 ดอลลาร์เมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากซาอุดีอาระเบีย และผู้ผลิตน้ำมันรายอื่นในกลุ่ม โอเปกพลัส ประกาศลดกำลังการผลิตอีกราว 1.16 ล้านบาร์เรล/วัน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้จนถึงสิ้นปี 2566 เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันให้มีเสถียรภาพ

คอนเทนต์แนะนำ

คนเสื้อแดงแห่ต้อนรับ ทักษิณ ร่วมงานสัมมนา ISAN NEXT

กรมชลฯ จัดประชุมผลกระทบสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำใสน้อย-ใสใหญ่ ปราจีนบุรี

สุดสลด! แม่ใจบาปทิ้งทารกแรกเกิด ในห้องน้ำตลาดดับอนาถ

ล่าสุดเช้าวันที่ 4 มี.ค. 66 ราคาน้ำมันดิบ เบรนท์ ปรับขึ้น 5.58% หรือ 4.46 ดอลลาร์ อยู่ที่ 84.40 ดอลลาร์/บาร์เรล น้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ปรับขึ้น 5.72% หรือ 4.33 ดอลลาร์ อยู่ที่ 80.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

แถลงการณ์ของโอเปกพลัส ระบุว่า ซาอุดีอาระเบียจะลดการผลิตน้ำมันลง 500,000 บาร์เรล/วัน และอิรักจะลดกำลังการผลิตของตนเหลือเพียง 211,000 บาร์เรล/วัน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ลดการผลิตที่ 144,000 บาร์เรล/วัน โดยทั้งคูเวต อิรัก แอลจีเรีย โอมาน และคาซัคสถาน ต่างมีมติลดการผลิตน้ำมันและอ้างว่าเป็นมาตรการรักษาเสถียรภาพของตลาดน้ำมัน

แน่นอนว่า การประกาศครั้งนี้ของกลุ่มโอเปคสร้างความตกใจต่อตลาดเป็นอย่างมาก เนื่องจาก เมื่อเดือน ต.ค. 65 กลุ่มโอเปกพลัสได้มีมติปรับลดกำลังการผลิตอยู่ที่ 2 ล้านบาร์เรล/วัน เท่ากับทำให้เศรษฐกิจกลับมามีความเสี่ยงจากต้นทุนราคาน้ำมันอีกครั้ง ทั้งที่ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบได้ร่วงลงถึง 70 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำที่สุดในรอบ 15 เดือน เนื่องจากความกังวลวิกฤตธนาคาร 2 แห่งในสหรัฐฯ ล้มละลาย และส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจโลก

ซึ่งการปรับลดการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปคครั้งนี้ ได้สร้างความไม่พอใจให้กับสหรัฐฯ เนื่องจากกังวลว่า จะยิ่งทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นไปอีก จากเดิมที่ฝั่งของรัสเซีย ก็มีการปรับลดการผลิตอยู่ที่ 500,000 บาร์เรล/วัน

ทำให้โฆษกสภาของความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นไม่พอใจต่อการกระทำครั้งนี้ของเหล่าโอเปกพลัส กับสำนักงานข่าวรอยเตอร์ “เราไม่แนะนำให้ปรับลดการผลิตน้ำมันในเวลานี้ เนื่องจากความไม่แน่นอนของตลาด”

เช่นเดียวกับประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐฯ ได้ตำหนิกลุ่มโอเปกพลัสมาตลอด โดยอ้างถึง การควบคุมกำลังผลิตน้ำมัน จะนำไปสู่อุปทานที่น้อยลง ทำให้ราคาน้ำมันในปั้มเพิ่มสูงขึ้น และก่อให้เกิดอัตราเงินเฟ้อได้  ยิ่งไปกว่านั้นอาจะเปิดช่องทาง ให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ปูติน แห่งรัสเซีย หาเงินได้เพิ่มขึ้น สำหรับการทำสงครามในยูเครนอีกด้วย