การเลือกตั้ง 2566 ของประเทศไทยในครั้งนี้ถูกจับตามองจากทั่วโลก เนื่องจากกระแสการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองตั้งแต่ในช่วงหาเสียงแรงมากเหลือเกิน และทันทีที่ผลการเลือกตั้งออกมา พรรคก้าวไกล ที่มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สามารถชนะการเลือกตั้งเป็นพรรคอันดับ 1 ด้วยคะแนนเสียง 151 เสียง (อย่างไม่เป็นทางการ) โค่นพรรคการเมืองดั้งเดิม โค่นแชมป์เก่า และเปลี่ยนขั้วการเมืองตามโพลที่ออกมา บรรดาสื่อต่างประเทศก็ให้ความสำคัญกับข่าวการเลือกตั้งของไทยอย่างมาก SPOTLIGHT พาไปดูท่าทีและความคิดเห็นของบรรดาสื่อยักษ์ของโลกกัน
เริ่มจาก CNN สื่อยักษ์ใหญ่ฝั่งสหรัฐฯ ได้พาดหัวข่าว เช้าวันที่ 15 เมษายน 2566 “ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวไทยแสดงพลังการโหวต หลังฝ่ายค้านกลายเป็นผู้ชนะ” CNN วิเคราะห์ว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้ ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ต้องการเปลี่ยนแปลง หลังจากการเมืองไทยการเกิดรัฐประหารในปี 2557 โดยคะแนนเสียงและคะแนนนำของพรรคก้าวไกล ทำให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลและส่งให้ ทิม พิธา เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่30 ของประเทศไทย
การเลือกตั้ง 2566 ยังเห็นถึงพลังการเมืองใหม่ที่น่าสนใจเพราะพรรคก้าวไกล เน้นการปฎิรูปประเทศไทยแบบถอนรากถอนโคน โดยให้คำมั่นสัญญาถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการทหาร เศรษฐกิจ การกระจายอำนาจ และการแก้ไขกฏหมายสำคัญ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ประเทศไทย อีกทั้งคำมั่นสัญญาที่ชัดเจน ว่าจะไม่เข้าร่วมกับพรรคทหาร อย่างพรรครวมไทยสร้างชาติ และ พรรคพลังประชารัฐ ด้วยสโลแกน “มีเราไม่มีลุง มีลุงไม่มีเรา”
และในที่สุด พรรคก้าวไกลได้พิสูจน์ว่าพวกเค้าทำได้ จนได้รับคะแนนความนิยมเสียงข้างมากในหมู่หนุ่มสาวชาวไทย รวมคะแนนเสียงท่วมท้นจนทะลุ 10 ล้านเสียง (ณวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 เวลา 16:04 น.)
สำหรับพรรคที่มีคะแนนเสียงอันดับ 2 และ อันดับ 3 คือ พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทยหนึ่งในพรรคที่อยู่ในการเมืองไทยมาเป็นเวลากว่า 20 ปี โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่เป็นเต็งหนึ่งจากการสำรวจ เพื่อไทยมาพร้อมสโกแกน “เลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์ ประเทศไทยเปลี่ยนทันที” นำโดย แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งคุณแพทองธาร ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “เราต้องเคราพเสียงของประชาชน พรรคไหนที่ชนะในการเลือกตั้ง ควรมีสิทธิจัดตั้งรัฐบาลก่อน”
ข้ามมาที่พรรคทหาร อย่างพรรคพลังประชารัฐ ที่นำโดยพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ (บิ๊กป้อม) และพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่นำโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (บิ๊กตู่) อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 29 ของประเทศไทย ที่ยอมรับความพ่ายแพ้ CNN รายงานว่า ในขณะที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ ที่ขยายวงกว้างมากขึ้น
ด้านสื่อยักษ์ฝั่งอังกฤษ อย่าง BBC ได้พาดหัวข่าวถึง “การเลือกตั้งในประเทศไทยในปีนี้ว่า ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้สร้างชัยชนะอย่างน่าทึ่งและโหยหาการปฎิรูปประเทศไทย”
พรรคก้าวไกล ได้รับเสียงการตอบรับจากประชาชนอย่างท่วมท้น และได้สิทธิได้การเป็นพรรคหลักในการจัดตั้งรัฐบาล นักวิเคราะห์ได้เรียกสิ่งนี่ว่า “แผ่นดินไหวในการเมืองไทย” ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงจากความคิดเห็นของประชาชน จากผู้นำฝ่ายค้าน กลายมาเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นชัยชนะของ “สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง” และ “รุ่งอรุณแห่งยุคใหม่”
โดยคะแนนเสียงส่วนใหญ่สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการหลีกหนีจากระบอบการเมืองแบบเดิม และเชื่อมั่นถึงอุดมการณ์การเปลี่ยนแปลง และสนับสนุนประชาธิปไตยของพรรคก้าวไกล
ซึ่งคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้นำพรรคก้าวไกล ได้พูดถึงความพร้อม ที่จะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศไทย “เรามีความฝันและความหวังเดียวกัน เรามีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยที่เป็นที่รักของเราจะดีขึ้นได้ และการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ หากเราเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันนี้”
ทั้งนี่มีประชาชนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลเป็นจำนวนมาก และได้เผยแพร่คลิปวีดีโอที่เป็นกระแสในสื่อโซเชียลมีเดีย อย่างแอปพลิเคชั่นติ๊กต็อก เช่นการหาเสียงที่สุดแปลกของสส.ก้าวไกล ร่วมถึงประชาชนมีส่วนร่วมซ่อมป้ายพรรคก้าวไกลที่โดนทำลาย
และวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 วันแห่งการเลือกตั้งเข้าคูหา เหล่าหนุ่มสาวที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลได้ร่วมกันใส่ เสื้อผ้าสีส้ม เเละรองเท้าสีส้ม เพื่อแสดงออกทางการสนับสนุนพรรค และโพสลงติ๊กต็อก เพื่อแสดงพลังแห่งความหวัง
ขณะเดียวกันการเลือกตั้งปีนี้ พรรคเพื่อไทย กลายเป็นผู้ที่ต้องผิดหวังจากคะแนนเสียงที่คาดหวังว่าจะแลนด์สไลด์ และอาจไม่คุ้นชินกับการเป็นพันธมิตรกับพรรคใหม่รุ่นน้อง อย่าง พรรคก้าวไกล ในสถานะพรรคร่วมรัฐบาล
ด้านสำนักข่าว BloomBerg จากสหรัฐฯ ได้รายงานว่า "กลุ่มพรรคฝ่ายค้านที่สนับสนุนประชาธิปไตย อย่างพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ได้ชนะการเลือกตั้งได้อย่างชัดเจน" และมีแนวโน้มที่จะเริ่มใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง และการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศไทย เช่น การปรับค่าแรงขี้นต่ำ การเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุและคนรับเงินบำนาญซึ่งการขึ้นมาเป็นฝ่ายรัฐบาล ของทั้งสองพรรค อาจก่อให้เกิดทั้งผลดีและผลเสียในหลายอุตสกรรม เนื่องจากแต่ละพรรคต้องทำตามนโยบายที่ตนได้หาเสียงเอาไว้
พรรคเพื่อไทย ได้เสนอการเพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสู่ระดับ 3 ล้านล้านบาท ภายในปี 2570 และวางยุทธศาสตร์ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการขนส่งระดับภูมิภาค โดยตั้งเป้าให้สนามบินรองรับนักท่องเที่ยวได้มากกว่า 120 ล้านคนในเวลา 4 ปี ส่วนบริษัทที่จะได้รับผลประโยชน์การการท่องเที่ยว คือบริษัทโรงแรม การแพทย์ และการคมนาคม
พรรคเพื่อไทยยังคงได้สัญญากับประชาชนในการเพิ่มรายได้ภาคเกษตรเป็น 3 เท่า ภายในระยะเวลา 4ปี ซึ่งจะทำให้ส่งผลต่อเกษตรกรเกือย 8 ล้านครัวเรือน
ส่วนนโยบายกัญชาเสรี อาจเกิดความไม่แน่นอนในอนาคตเนื่องจากพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ต่างคัดค้านการใช้กัญชาเสรี และนี่อาจจะกระทบกับบรรดาร้านขายกว่า 4,500 ราย และเกษตรกรปลูกกัญชาอีกจำนวนมาก เช่นเดียวกันกับผู้ค้าปลีกเชื้อเพลิง อาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มโรงงานกลั้นน้ำมัน และผู้ค้าปลีกน้ำมัน เช่น บริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) เนื่องจากรัฐบาลชุดใหม่ต่างมีนโยบายลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล และอุดหนุนสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
ด้านธุรกิจในกลุ่มพลังงาน อย่างบริษัทกัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน), บริษัทราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัทบี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) อาจะได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากพรรคการเมืองใช้นโยบาย การลดค่าธรรมเนียมไฟฟ้า และลดภาษีพลังงาน เป็นต้น
ทั้งหมดนี้จึงเป็นกระจกสะท้อนการเลือกตั้งของประเทศไทยเมื่อวันที่ 14 พ.ค.2566 ที่ผ่านมา และจากนี้ไปเชื่อว่าทั้งคนไทยและทั่วโลก กำลังจับตาการจัดตั้งรัฐบาลใหม่นี้อย่างใจจดใจจ่อ