ประเทศไทยผ่านการเลือกตั้งใหญ่มาเป็นเวลาเกือบ2 เดือนแล้วก็ยังไม่สามารถเห็นโฉมหน้าของรัฐบาลใหม่ได้ซักที ความล่าช้ามีผล กระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก ธนาคารแห่งประเทศไทยและสำนักวิจัยทางเศรษฐกิจ ต่างมองว่า การเมืองเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อเศรษฐกิจไทยจากนี้
อย่างไรก็ตามในสัปดาห์หน้านี้แล้วคือวันพฤหัสบดีที่ 13 ก.ค.2566 จะเป็นวันประชุมรัฐสภาเพื่อลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรี ผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องได้รับเสียงมากกว่าครึ่งหนึ่งของรัฐสภาหรือ 376 เสียง โดยรัฐสภาประกอบด้วย ส.ส. 500 คน และ ส.ว. 250 คน รวมเป็น 750 คน
เมื่อวานนี้ (7ก.ค.) ในงานสัมมนา“Battle Strategy แผนฝ่าวิกฤติ พิชิตสงคราม EPISODE V:วิกฤติมาทุกทิศ โอกาสมีทุกทาง” โดยหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย (พท.) และแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี อดีตประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.แสนสิริ (SIRI) ได้พูดถึงสถานการณ์การเมืองกับผลต่อเศรษฐกิจไทยว่า การเมืองของประเทศไทยในขณะนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมากการได้รัฐบาลใหม่ที่ล่าช้า ส่งผลให้การจัดทำงบประมาณ ปี 67 ล่าช้าไปด้วย โดยหากได้รัฐบาลในเดือนส.ค. 66 จะสามารถใช้งบได้เร็วสุดในวันที่ 15 มี.ค. 67
“เศรษฐกิจไทยขณะนี้อยู่ปากเหว เพราะมีปัญหาหลายอย่างที่จำเป็นต้องมีรัฐบาลใหม่มาดูแล ทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงถึง 90% ต่อGDP การส่งออกที่อาจติดลบ ปัญหาภัยแล้งที่เป็นเรื่องใหญ่มาก นอกจากนี้อีก 3 เดือนประเทศไทยก็เข้าสู่ไฮซีซันที่กำลังจะต้องต้อนรับนักท่องเที่ยว”
"ล็อกทางการเมือง ทำให้เกิดล็อกทางเศรษฐกิจ ยิ่งไทยจัดตั้งรัฐบาลได้ช้า ก็จะเป็นรองอีก 2 ประเทศในอาเซียนทั้งอินโดนีเซีย และเวียดนามได้ ตอนนี้ไทยเป็นสุญญากาศ ไม่มีใครออกไปเจรจาทางการค้าเลย ถ้าไม่มีรัฐบาล การลงทุนจากต่างประเทศไม่มาแน่นอน" นายเศรษฐา กล่าว
“ขณะนี้นักลงทุนต่างประเทศอยากมาลงทุนในไทย เชื่อว่าประเทศไทยยังมีเสน่ห์และศักยภาพ แต่นักลงทุนยังชะลอการลงทุน เพื่อรอการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ส่วนเรื่องเสถียรภาพไม่ใช่เรื่องน่ากังวล เนื่องจากทั้ง 2 พรรคการเมือง ก้าวไกล และเพื่อไทย มุ่งมั่นในการพัฒนาประเทศ และไม่มีปัญหาระหว่างกัน”
คุณเศรษฐา ย้ำว่า วันที่ 13 ก.ค.นี้พรรคเพื่อไทยไม่แตกแถวแน่นอน สนับสนุนให้คุณ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ซึ่งหากการโหวตเลือกในวันแรกไม่ผ่านก็ต้องให้โอกาสในวันที่ 2 และ 3 ต่อ ส่วนคำแนะนำสำหรับนักลงทุนในช่วงนี้ คือ แนะนำให้ "Wait and See"รอดูสถานการณ์ โดยรักษากระแสเงินสด บริหารองค์กรให้ดี และเปิดตลาดการค้าใหม่ๆ เชื่อว่าการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะรอไม่นาน 1-3 เดือน จะเห็นความคืบหน้าแน่นอน
ข้อมูลเสียงของ 8 พรรคการเมืองรวม 312 เสียง มีดังนี้
1.ก้าวไกล มี ส.ส.151 เสียง
2.พรรคเพื่อไทย 141 เสียง
3.พรรคประชาชาติ 9 เสียง
4.พรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง
5.พรรคเพื่อไทรวมพลัง 2 เสียง
6.พรรคเสรีรวมไทย1 เสียง
7.พรรคเป็นธรรม1 เสียง
8.พรรคพลังสังคมใหม่ 1 เสียง