ท่ามกลางสถานการณ์การเมือง ที่หวังว่าเรากำลังจะมีความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้ เศรษฐกิจไทยก็น่าจะมีปัจจัยบวกจากการขับเคลื่อนผ่านนโยบายของรัฐได้แต่หากการเมืองในประเทศยังเป็นสุญญากาศต่อไปเรื่อยๆ เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ก็คงเหนื่อยเพราะความเสี่ยง 4 ด้านมารุมเร้าพร้อมๆกัน คือ การเมือง , เศรษฐกิจโลก , การเงิน และภัยแล้ง
ประเด็นของ เศรษฐกิจโลก ขณะนี้สังสัญญาณไม่สู้ดีนัก ตัวชี้วัดสำคัญคือ การส่งออกของประเทศไทยที่ติดลบ 9 เดือนติดต่อกันแล้ว นอกจากจะบ่งบอกว่า ไทยควรเร่งสร้างขีดความสามารถในการส่งออกให้มากขึ้นแล้ว ยังบ่งบอกถึงประเทศคู่ค้าต่างๆที่ไทยส่งสินค้าออกไปก็อยู่ในสภาพไม่สู้ดีเช่นกัน
กระทรวงพาณิชย์ไทยรายงานมูลค่าการส่งออกของ เดือนมิ.ย.66 อยู่ที่ 24,826 ล้านดอลลาร์ฯ หดตัว 6.4% เทียบกับปีที่แล้ว ติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 และหากดูตั้งแต่ มกราคม ถึง มิถุนายน 2566 การส่งออก 6 เดือนแรกมีมูลค่า 141,170.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐหดตัว 5.4%
ภาพรวมการส่งออกรายสินค้าของไทยในเดือน มิ.ย.66 หดตัวทุกกลุ่ม นำโดย
1.สินค้าเกษตรหดตัว -7.4% เทียบกับปีก่อน แต่ดีขึ้นจากเดือน พ.ค. ที่หดตัวหนัก 27% การส่งออกยางพาราหดตัวต่อเนื่อง 11 เดือนที่ -43.0% ขณะที่ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งขยายตัว 14.2% หลังจากหดตัวแรง -54.8% ในเดือนก่อนตามผลผลิตจากภาคใต้ที่เพิ่มขึ้น ส่งออกไก่สด แช่เย็น แช่แข็งขยายตัว 10.7% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 ปัจจัยหนุนจากการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกในบราซิลส่งผลให้มีความต้องการไก่ทดแทนจากไทยมากขึ้น
2.สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรหดตัวต่อเนื่อง 3 เดือนอยู่ที่ -10.2% เทียบกับปีที่แล้ว หดตัวเพิ่มจาก -0.6% ในเดือนก่อน โดยการส่งออกไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์หดตัวมากถึง -80.8% เทียบกับ -63% ในเดือนก่อน ขณะที่การส่งออกน้ำตาลทรายขยายตัว 31.4% ชะลอลงบ้างจาก 44.2% ในเดือนก่อน
3.สินค้าอุตสาหกรรมกลับมาหดตัว -4.6% เทียบปีก่อน หลังจากเดือนก่อนขยายตัวครั้งแรกในรอบ 8 เดือน โดยการส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์หดตัว -25.3% ต่อเนื่อง 9 เดือน การส่งออกอากาศยาน ยานอวกาศ และส่วนประกอบหดตัว -68.8% แต่หากหักผลของทอง อาวุธ และอากาศยาน พบว่าสินค้าส่งออกอุตสาหกรรมหดตัวเพียง -1.4%
4.สินค้าแร่และเชื้อเพลิงหดตัว -25.5% เทียบกับปีก่อน และ -39.9% ในเดือนก่อน จากการส่งออกน้ำมันดิบที่หดตัว -29.0%
มาดูภาพรวมตลาดส่งออกหลักกันบ้าง พบว่า ยังผันผวนสูง การส่งออกไปจีนและญี่ปุ่นพลิกมาขยายตัวได้ แต่การส่งออกไปสหรัฐฯ และยุโรปกลับมาหดตัวอีกครั้ง
1.ตลาดจีนพลิกกลับมาขยายตัว 4.5%เทียบกับปีที่แล้ว หลังหดตัว -24% ในเดือนก่อน จากการส่งออกผลไม้สด แช่เย็นแช่แข็ง และแห้ง (ซึ่งคิดเป็น 29.1% ของมูลค่าการส่งออกไปจีนทั้งหมด) ที่ขยายตัว 17.2% หลังหดตัวในเดือนก่อน รวมถึงตลาดฮ่องกงขยายตัวดี 17.6% ตามการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับที่ขยายตัวถึง 133.9%YOY
2.ตลาดญี่ปุ่นขยายตัว 2.5% เทียบปีที่แล้ว หลังหดตัว -1.8% ในเดือนก่อน
3.ตลาดสหรัฐฯ หดตัว -5.0% เทียบปีที่แล้ว หลังขยายตัว 4.2% ในเดือนก่อน
4.ตลาดยุโรป (EU28 ประเทศ) หดตัว -6.4% เทียบปีที่แล้ว หลังขยายตัว 9% ในเดือนก่อน
5.ตลาด ASEAN หดตัวแรงทั้งตลาด ASEAN5 -18.0% และ CLMV -23.0%
อย่างไรก็ตาม เดือนมิถุนาย 2566 ไทยดุลการค้าเกินดุลครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ผลจากมูลค่านำเข้าที่หดตัวแรงกว่ามูลค่าส่งออก โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าในเดือน มิ.ย. อยู่ที่ 24,768.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว -10.3% หดตัวแรงขึ้นจาก -3.2% ในเดือนก่อน เดือน มิ.ย. จึงเกินดุลเล็กน้อยครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ที่ 57.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังขาดดุล -1,849.32 ล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนก่อน อย่างไรก็ดี ดุลการค้าในระบบศุลกากรในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 ขาดดุล -6,307.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
SCB EIC มองว่า การฟื้นตัวของการส่งออกไทยในช่วงที่เหลือของปียังขาดหลายปัจจัยหนุน เนื่องจาก
1.เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวชะลอลง โดยเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 2 ขยายตัวชะลอลง 0.8%QOQ จาก 2.2%QOQ ในไตรมาส 1 การนำเข้าสินค้าของจีนในเดือน มิ.ย. ยังหดตัวต่อเนื่อง -8.6%YOY ขณะที่การนำเข้าสินค้าไทยของจีนหดตัวแรง -17.4% ส่วนหนึ่งจากปัจจัยฐานสูงที่มูลค่าการนำเข้าในเดือน มิ.ย. 2022 สูงสุดเป็นอันดับ 3 นับตั้งแต่มีการจัดเก็บข้อมูล แต่หากเทียบข้อมูลเดือนก่อน มูลค่าการนำเข้าของจีนขยายตัว 4.9%MOM_sa
2.ดัชนี Flash Manufacturing PMI ในเดือน ก.ค. ของประเทศคู่ค้าสำคัญหดตัวแรงต่อเนื่อง นำโดย Eurozone Manufacturing PMI ที่ลดลงมาอยู่ที่ 42.7 (43.4 ในเดือน มิ.ย.) UK Manufacturing PMI ลดลงมาอยู่ที่ 45.0 (46.5 ในเดือน มิ.ย.) Japan Manufacturing PMI ลดลงมาอยู่ที่ 49.4 ต่ำสุดในรอบ 4 เดือน ขณะที่ US Manufacturing PMI ยังอยู่ในภาวะหดตัวที่ระดับ 49.0 แม้ปรับดีขึ้นจาก 46.3 ในเดือนก่อน
3.ข้อมูลเร็วของการส่งออก 20 วันแรกของเกาหลีใต้ในเดือน ก.ค. หดตัว -15.2%YOY หลังจากขยายตัว 5.2% ในเดือนก่อนจากปัจจัยฐานต่ำ และหากเทียบกับเดือนก่อนแบบปรับฤดูกาล หดตัว -2.9%MOM_sa นอกจากนี้ การส่งออกไปตลาดจีนและสหรัฐฯ หดตัวมากขึ้น -21.2%YOY และ -7.3%YOY ตามลำดับ
4.ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ (El Nino) ที่อาจกระทบผลผลิตสินค้าเกษตรของไทย คาดว่าจะเริ่มเห็นผลกระทบต่อผลผลิตเกษตรตั้งแต่ปลายปีนี้ แต่ความเสียหายส่วนใหญ่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2024
1.ปัจจัยฐานต่ำโดยเฉพาะในช่วงปลายปี มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยในไตรมาสสุดท้ายของปีก่อนเฉลี่ยที่ 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน เทียบค่าเฉลี่ยปี 2022 ที่สูงเกือบ 24,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และค่าเฉลี่ย 6 เดือนแรกของปีนี้ที่ 23,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
2.แรงกดดันอุปทานคอขวดคลี่คลายสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤตโควิด ค่าระวางเรือลดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนวิกฤตโควิดแล้ว ส่งผลให้แรงกดดันจากต้นทุนการขนส่งสูงมีแนวโน้มทยอยหมดไป
3.ราคาสินค้าโภคภัณฑ์มีแนวโน้มสูงขึ้น จะมีส่วนทำให้มูลค่าการส่งออกปรับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ประกอบกับการปรับลดกำลังผลิตน้ำมันของ OPEC+ มีแนวโน้มทำให้ราคาพลังงานปรับเพิ่มขึ้น อีกทั้ง นโยบายระงับการส่งออกข้าวของอินเดียคาดว่าจะส่งผลให้ราคาส่งออกข้าวของโลกปรับสูงขึ้นในระยะข้างหน้า
การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์