ความสำเร็จในวันนี้ล้วนเป็นผลมาจากการเรียนรู้และความพยายามที่เริ่มต้นมาตั้งแต่วัยเยาว์ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2568 SPOTLIGHT ขอพาทุกคนไปชมภาพวัยเยาว์ของ 7 CEO คนดังระดับโลก ผู้ที่ได้รับการยอมรับในแวดวงธุรกิจ และกำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในปีนี้!
วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) คือนักลงทุนที่ผู้คนทั่วโลกให้การยอมรับและยกย่องเขาเป็นต้นแบบ ปัจจุบัน เขามีอายุ 94 ปี และดำรงตำแหน่ง CEO ของ Berkshire Hathaway บริษัทโฮลดิงขนาดใหญ่ที่ถือครองหุ้นในบริษัทสำคัญทั่วโลก ครอบคลุมธุรกิจกลุ่มพลังงาน เทคโนโลยี การเงิน ประกันภัย ไปจนถึงสินค้าอุปโภคบริโภค โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา หุ้นของ Berkshire Hathaway มีการปรับตัวขึ้น 25.5% นับเป็นผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนี S&P 500 ซึ่งมีการปรับตัวขึ้นเพียง 23.3%
นอกเหนือจากความสามารถด้านการลงทุนแล้ว บัฟเฟตต์ ยังได้รับการชื่นชมจากผู้คนทั่วโลกในด้านการใช้ชีวิตอย่างประหยัด แม้ว่าเขาจะมีทรัพย์สินมากกว่า 133,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย CNBC รายงานว่า บัฟเฟตต์ อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมมามากกว่า 65 ปีแล้ว โดยเขาซื้อบ้านหลังขนาด 5 ห้องนอน เมื่อปี 1958 ในราคา 31,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเจ้าตัวเคยออกมาบอกว่าการซื้อบ้านหลังนี้เป็นหนึ่งในการตัดสินใจลงทุนที่ถูกต้องที่สุดของเขา เพราะราคาของบ้านหลังนี้ในปัจจุบันพุ่งขึ้นไปถึง 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และอยู่ห่างจากที่ทำงาน หรือสำนักงานใหญ่ของ Berkshire Hathaway เพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้นหากเดินทางด้วยรถยนต์
ปัจจุบัน โลกรู้จัก อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ในฐานะมหาเศรษฐีอัจฉริยะวัย 53 ปี โดยเขารั้งตำแหน่ง CEO ของบริษัทด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมหลายแห่ง เช่น SpaceX ดำเนินธุรกิจด้านอวกาศ, Tesla ยานยนต์ไฟฟ้า, X (ชื่อเดิมคือ Twitter) แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย, Neuralink บริษัทด้านเทคโนโลยีประสาท และ The Boring Company บริษัทออกแบบระบบอุโมงค์ใต้ดินอย่าง Hyperloop ซึ่งกิจการต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ มัสก์ เป็นหนึ่งในชายที่มั่งคั่งที่สุดในโลกจากการจัดอันดับของ Forbes ด้วยทรัพย์สินมากกว่า 195,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ความสำเร็จต่าง ๆ ของ มัสก์ ทำให้แวดวงเทคโนโลยีสั่นสะเทือนได้เสมอ ล่าสุด ต้องยกให้กับวินาทีประวัติศาสตร์ของ SpaceX ในการนำจรวด Super Heavy กลับมาลงจอดฐานปล่อยเป็นครั้งแรก เรื่องนี้นับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของวงการวิศวกรรมการบินและอวกาศ โดยความอัจฉริยะของ มัสก์ ฉายแววมาตั้งแต่เขายังเด็ก จากการเริ่มต้นเขียนโปรแกรมตั้งแต่อายุ 10 ปี และได้ก่อตั้ง Zip2 บริษัทจัดทำแผนที่และทำเนียบธุรกิจบนอินเตอร์เน็ตในปี 1995 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจของเขา จากการขายกิจการดังกล่าวออกไปเพื่อนำเงินทุนมาก่อตั้งบริษัทอื่น ๆ ในเวลาต่อมา
เมื่อพูดถึง CEO ของ Apple บริษัทผลิตสมาร์ตโฟนระดับโลกอย่าง iPhone หลายคนจะนึกถึง สตีฟ จอบส์ (Steven Jobs) ผู้ล่วงลับมากกว่า ทิม คุก (Tim Cook) วัย 64 ปี CEO คนปัจจุบันของบริษัท ที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ Apple ผลิตอุปกรณ์สวมใส่อย่าง Apple Watch รวมถึงก้าวเข้าสู่ธุรกิจสื่อบันเทิงและสตรีมมิง โดยมีผลงานโดดเด่นอย่าง Apple Music และ Apple TV+
ไม่แปลกใจที่หลายคนจะรู้เรื่องของ คุก น้อยมาก เพราะเขาแทบไม่ออกสื่อเลย หากไม่ใช่งานอย่างเป็นทางการของ Apple แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นคือการบริหารจัดการเวลา โดย คุก เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าเขาจะพยายามเข้านอนตอน 20.45 น. เพื่อจะได้นอนหลับให้ได้อย่างน้อย 7 ชั่วโมง ก่อนจะตื่นขึ้นมาในตอน 03.45 น. และเริ่มต้นทำงานทันทีด้วยการอ่านอีเมลกว่า 700 ฉบับ ก่อนจะไปออกกำลังกายในยิมตอนตี 5 และพยายามเข้าไปทำงานที่ Apple Park ในช่วงเวลา 08.00 น. ไม่เกิน 09.00 น. นั่นทำให้เขาเป็นคนแรก ๆ ที่มาทำงาน และมักเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากออฟฟิศในตอนกลางคืน
จากคำบอกเล่าของพนักงาน คุก เป็นเจ้านายที่เข้มงวดมาก แต่ก็มีความยุติธรรมสูง ซึ่งทำให้หลายคนมองว่าพนักงานอาจจะรู้สึกเกร็งเมื่อต้องทำงานร่วมกันกับเขา แต่การที่ คุก มักไปกินข้าวกลางวันที่โรงอาหารของ Apple Park ร่วมกับพนักงานคนอื่น ๆ รวมถึงรับฟังปัญหาและข้อผิดพลาดอยู่เสมอก็ทำให้หลายคนรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น และนี่คือส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาเป็นที่รักของพนักงาน รวมถึงได้รับการยกย่องจากสื่อหลายสำนักว่าเขาคือผู้นำที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลก
ในทำเนียบมหาเศรษฐีอายุไม่ถึง 40 ปี ของ Forbes มีรายชื่อของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ผู้ก่อตั้ง Facebook ติดอันดับไว้มาอย่างเนิ่นนานด้วยทรัพย์สินมากกว่า 177,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และในเร็ว ๆ นี้ ชื่อของเขากำลังจะหลุดออกจากทำเนียบแล้ว เนื่องจากมีอายุครบ 40 ปี
เรื่องราวของ ซักเคอร์เบิร์ก และความสำเร็จของ Facebook ถูกเล่าขานอย่างต่อเนื่องในหลายสื่อ และภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง “The Social Network” ที่ออกฉายในปี 2010 ปัจจุบัน เขากลายเป็น CEO ของ META บริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, Instagram และ Threads รวมถึงความพยายามในการพัฒนา Metaverse ซึ่งในช่วงหลังมานี้ชื่อของเขาอาจไม่ได้เป็นที่ชอบใจของใครหลายคนมากนัก แต่ในฐานะ CEO ของ META ก็ต้องยอมรับว่า ซักเคอร์เบิร์ก ไม่เคยยอมแพ้และพยายามนำพาบริษัทให้ก้าวต่อไปท่ามกลางความท้าทาย ทั้งการแข่งขันกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ รายได้จากการโฆษณาที่ลดลง ไปจนถึงปัญหาข่าวปลอมและการปิดกั้นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งทำให้ Facebook ถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลสหรัฐฯ
ยุคสมัยแห่งเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ ทำให้ชื่อของ เจนเซน หวง (Jensen Huang) โด่งดังไปทั่วโลก ในฐานะ CEO ผู้สวมแจ็กเกตหนังของ NVIDIA บริษัทผลิตชิปที่มีมูลค่ามากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเป็น 1 ใน The Magnificent 7 หรือหุ้นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่ารวมกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศ
หวง คือผู้อพยพชาวไต้หวันที่ต้องหนีจากความยากลำบากในประเทศมาสู่ดินแดนแห่งโอกาส โดยพ่อแม่ของ หวง ส่งเขามาอยู่กับญาติในสหรัฐฯ เพื่อให้เขาได้รับการศึกษาและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยในช่วงเวลาที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและเกมพีซีกำลังเริ่มต้น เขาและเพื่อน ๆ มองเห็นโอกาสในธุรกิจนี้ จึงเริ่มต้นธุรกิจประดิษฐ์ GPU ในปี 1999 ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญของคอมพิวเตอร์ในการประมวลผล ซึ่งการมาถึงของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ก็ทำให้ความต้องการชิปและ GPU เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ส่งผลให้ NVIDIA กลายเป็นผู้นำของการผลิตชิป หนึ่งในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตมากที่สุดของโลก
ในช่วงที่ผ่านมา ภาพของงานแต่งสุดอลังการในอินเดีย และคฤหาสน์สูง 27 ชั้นแห่งนครมุมไบ ทำให้หลายคนตื่นตาตื่นใจกับความมั่งคั่งของ มูเกช อัมบานี (Mukesh Ambani) ชายวัย 67 ปี และ CEO ของ Reliance Industries บริษัทขนาดใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจในอินเดีย ครอบคลุมกิจการด้านพลังงาน โทรคมนาคม การเงิน อุตสาหกรรมเคมี เทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ สตรีมมิง สิ่งทอ และอาหาร ซึ่งกิจการเหล่านี้ทำให้ อัมบานี มีทรัพย์สินมากกว่า 116,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยอยู่ในอันดับ 9 ของทำเนียบมหาเศรษฐีของโลก และอันดับ 1 ของทำเนียบมหาเศรษฐีแห่งเอเชีย
ความยิ่งใหญ่ของ อัมบานี และ Reliance Industries ทำให้ใคร ๆ ก็อยากสร้างสัมพันธ์ด้วย โดยงานแต่งงานลูกชายคนเล็กที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็นงานรวมตัว CEO ระดับโลกเอาไว้มากที่สุดงานหนึ่ง โดยมี มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก จาก META, ซุนดาร์ พิชัย จาก Alphabet (บริษัทแม่ของ Google), บิลล์ เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft, แลร์รี ฟิงก์ จากกองทุน Blackrock และ อีแจยอง จาก Samsung Electronics เข้าร่วมงานด้วย
ดร.ลิซา ซู (Dr.Lisa Su) คือผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็น CEO แห่งปี 2024 จากนิตยสาร TIME และเป็นผู้นำบริษัทไม่กี่คนใน Fortune 500 ที่มีปริญญาเอก รวมถึงประสบการณ์ด้านวิศวกรรม ผลงานอันโดดเด่นของ ดร.ซู คือการพลิกฟื้น AMD บริษัทผลิตชิปที่กำลังเผชิญวิกฤตราคาหุ้นในปี 2014 ให้กลับมาเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งในวงการเทคโนโลยี โดยสามารถทำผลงานแซงหน้าบริษัทผลิตชิปรุ่นพี่อย่าง Intel ได้สำเร็จ และเป็นรองเพียงแค่ NVIDIA เท่านั้นในปัจจุบัน
นอกเหนือจากความสามารถด้านวิศวกรรมแล้ว ดร.ซู ยังถูกยกย่องให้ผู้นำที่แข็งแกร่งและตรงไปตรงมาอีกด้วย โดยเรื่องราวของ ดร.ซู นั้นไม่ถูกเปิดเผยในสื่อมากนัก เนื่องจากไลฟ์สไตล์ส่วนตัว แต่คำพูดหนึ่งที่เธอยึดถือมาตลอดคือ “ฉันไม่เชื่อว่าผู้นำเกิดมาแล้วทำได้เลย ฉันเชื่อว่าผู้นำต้องได้รับการฝึกฝนมา” (I don't believe leaders are born, I believe leaders are trained.)