Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
เปิด 5 กลุ่มเสี่ยงโดนขึ้นภาษีจากนโยบายทรัมป์ ไทยเข้าข่ายเป้าหมายสหรัฐฯ
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

เปิด 5 กลุ่มเสี่ยงโดนขึ้นภาษีจากนโยบายทรัมป์ ไทยเข้าข่ายเป้าหมายสหรัฐฯ

24 ม.ค. 68
17:08 น.
|
515
แชร์

ทั่วโลกจับตาไปที่นโยบายการขึ้นภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดย 3 ประเทศที่ถูกกระบุไว้ในวันทำพิธีสาบานตนของทรัมป์คือ แคนาดา เม็กซิโก และ จีน คาดว่า 1 ก.พ.68  จะโดนทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ ขณะเดียวกันหากหันกลับมาที่ประเทศไทยของเรา ข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆเริ่มออกมาในทิศทางเดียวกันว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่สหรัฐฯจะเก็บภาษีสูงขึ้นเช่นกัน แม้เราจะเป็นประเทศเล็กๆ แต่ข้อมูลล่าสุดจากบทวิเคราะห์ของ  KKP Research เรื่อง ไทยเตรียมรับแรงกระแทกจาก Trump 2.0 อธิบายอย่างชัดเจนถึงแนวคิดการขึ้นภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ใช้นโยบายการขึ้นภาษีสินค้าจากต่างประเทศ เพื่อเชื่อมโยงกับประเด็นต่างๆสร้างความเป็นธรรมให้กับสหรัฐฯ 

SPOTLIGHT นำข้อมูลบางส่วนของรายงานของ KKP Research มานำเสนอเพื่อทำให้เกิดความเข้าใจถึงผลกระทบที่กำลังจะเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการไทย สินค้าไทย รวมถึงเศรษฐกิจไทย กับนโยบายของทรัมป์ 2.0 ดังนี้ 

ทำไมทรัมป์ต้องขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศต่างๆ

หากถามว่าทำไมทรัมป์ต้องขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศต่างๆก็เพราะในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา สหรัฐฯเป็นประเทศที่ต้องการการเติบโตของกระแสโลกาภิวัฒน์และการค้าโลกเสรีมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม กระแสโลกาภิวัฒน์ได้สร้างต้นทุนให้แก่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มหาศาล กล่าวคือการย้ายฐานการผลิตออกจากสหรัฐฯ ไปยังกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่โดยเฉพาะจีน รวมทั้งสร้างความไม่สมดุลในดุลบัญชีเดินสะพัด ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลเพิ่มขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่กุล่มประเทศหลักอื่นๆ กลับเกินดุลและแรงงานในสหรัฐจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการย้ายฐานการผลิต และการแข่งขันของสินค้าที่ผลิตในต่างประเทศ และมีระบบภาษี การอุดหนุน และการคุ้มครองสิทธิทางปัญญาที่สหรัฐมองว่าไม่เป็นธรรม และไม่มีกลไกในการดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการค้า นี่คือที่มาของกระแสตีกลับในสหรัฐฯ ต่อการค้าแบบเสรีและต้องการการค้าที่เป็นธรรมมากขึ้นและรวมไปถึงการดึงภาคการผลิตกลับไปยังสหรัฐฯ ซึ่งประเด็นนี้คือจุดยืนหลักที่ทรัมป์ใช้ในการหาเสียงในการเลือกตั้งที่ผ่านมา

ในมุมมองของประธานาธิบดีทรัมป์ เครื่องมือสำคัญที่สหรัฐฯ จะใช้เจรจาการค้าที่เป็นธรรมคือการใช้ภาษีนำเข้า ในการต่อรองกับกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อบรรลุเป้าหมายของนโยบายต่างประเทศ ซึ่งรวมไปถึงประเด็นผู้อพยพ ยาเสพติด ค่าใช้จ่ายทางการทหาร การเปิดตลาดให้สหรัฐฯ และประเด็นการค้าและธุรกิจอื่นๆ

ข้อมูลจาก KKP Research ระบุ 5 กลุ่มเป้าหมายสำคัญที่สหรัฐเล็งขึ้นภาษี 

1.บริษัทสัญชาติอเมริกา ที่ย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศและส่งสินค้ากลับไปขายผู้บริโภคในสหรัฐฯ

2.สินค้าจีนที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ โดยตรง และส่งผลกระทบด้านลบต่อผู้ผลิตท้องถิ่น

3.ประเทศที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ขนาดสูง ไม่ว่าจะเป็น เม็กซิโก แคนาดา เวียดนาม (และอาจจะรวมถึงไทยด้วย)

4.สินค้าจีนที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ผ่านประเทศที่สาม เพื่อพยายามหลบหลีกภาษีนำเข้า

5.ประเทศที่มีมาตรการกีดกันสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงไม่ว่าจะเป็นมาตรการด้านภาษีหรืออื่น ๆ

แม้ว่าเครื่องมืออย่างภาษีนำเข้าอาจไม่สามารถแก้ปัญหาการขาดดุลทางการค้าเรื้อรังได้ทั้งหมด แต่ประธานาธิบดีทรัมป์มองว่าจะใช้การขึ้นภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือสำคัญในการกดดันประเทศหรือบริษัทต่างๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายการค้าที่เป็นธรรมมากขึ้นอาทิ การลดมาตรการกีดกันสินค้าจากสหรัฐฯ การยกเลิกหรือลดการให้ผลประโยชน์กับบริษัทสัญชาติอเมริกาเพื่อดึงดูดการลงทุนและใช้สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออก หรือการกดดันให้บริษัทต่างชาติเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ หากต้องการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ

แม้ว่าสหรัฐฯ จะไม่สามารถผลิตสินค้าทุกอย่างเองได้ทั้งหมด แต่หากนโยบายเหล่านี้ประสบความสำเร็จในการเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ โดยเฉพาะในสินค้าที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญและสามารถลดมาตรการกีดกันสินค้าสหรัฐฯ ได้ ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาวเติบโตได้ดีมากเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ

ไทยเตรียมรับแรงกระแทกจาก Trump 2.0

ไทย เสี่ยงตกเป็นเป้าหมายถูกขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ 

KKP research มองว่า สำหรับประเทศไทยมีหลายประเด็นที่เสี่ยงเข้าข่ายเป็นประเทศที่ตกเป็นเป้าหมายของสหรัฐฯ คือ

1.การเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ของอาเซียน

ไทยมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อยู่ที่ 4.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงปี 2024 ที่ผ่านมา ซึ่งมีขนาดเกินดุลมากที่สุดคิดเป็นอันดับที่ 11 จากประเทศที่เกินดุลกับสหรัฐฯ ทั้งหมด แม้ว่าไทยจะไม่ได้เป็นประเทศที่มีขนาดเกินดุลกับสหรัฐฯ มากที่สุด แต่หากสหรัฐฯ มองไทยและประเทศอื่นในอาเซียนเป็นกลุ่มประเทศเดียวกันทั้งหมดจะพบว่า กลุ่มประเทศอาเซียนมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อยู่ที่ 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นอันดับที่ 2 รองจากจีนเท่านั้น 

ประเทศในกลุ่มอาเซียนจึงมีความเสี่ยงที่จะเจอกับมาตรการกีดกันการส่งออกจากสหรัฐฯ พร้อมกันทั้งหมดได้ โดยสินค้าของไทยที่มีการเกินดุลในระดับสูง เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดดิสก์ ยางรถยนต์ เป็นต้น สินค้าเหล่านี้อาจถูกยกขึ้นมาเป็นเป้าหมายของภาษีนำเข้าและเป็นเป้าหมายในการเจรจาหากสหรัฐฯ ต้องการที่จะเล่นงานการเกินดุลการค้าของไทย

ไทยเตรียมรับแรงกระแทกจาก Trump 2.0

2.สินค้าจีนที่ส่งผ่านไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ

สินค้ากลุ่มที่สองที่อาจตกเป็นเป้าหมายของหรัฐฯ คือสินค้าที่จีนใช้ไทยเป็นฐานในการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้า นับตั้งแต่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในปี 2018 ดุลการค้าของไทยที่เพิ่มขึ้นกับสหรัฐฯ พร้อมกับการขาดดุลกับจีนที่เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ทำให้เราตั้งข้อสงสัยว่า กิจกรรมการค้าบางส่วนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาในไทยส่วนหนึ่งคือการหลีกเลี่ยงภาษีจากสหรัฐฯ ของจีน แม้ว่าจะประเมินได้ยากว่ามีสินค้าอะไรบ้างที่เข้าข่ายและกิจกรรมเหล่านี้มีมูลค่ารวมเท่าไหร่ แต่สินค้าอย่างแผงโซล่าเซลล์ โมเด็ม/เราเตอร์ หรือหม้อแปลงไฟฟ้า อาจเข้าข่ายสินค้าจีนใช้ตลาดไทยเป็นทางผ่านในการส่งไปยังตลาดสหรัฐฯ เท่านั้น

โดยข้อมูลจาก ITC Trade map แสดงให้เห็นว่าปริมาณการนำเข้าแผงโซล่าจากจีนสะสมต้องแต่ไตรมาสที่ 1 ของปี 2022 มีปริมาณใกล้เคียงกับปริมาณการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สหรัฐฯ ทราบเป็นอย่างดีและเพิ่มมาตรการกีดกันสินค้าเหล่านี้จนกว่าแนวโน้มการส่งออกจะลดลง สหรัฐฯ อาจถึงขั้นกำหนดว่าประเทศที่เข้าข่ายเป็นทางผ่านจะต้องพิสูจน์มูลค่าเพิ่มเพื่อแสดงให้เห็นว่ามูลค่าเพิ่มส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากจีนและนั่นอาจทำให้กระบวนการทางการค้าในอนาคตมีความยุ่งยากและต้นทุนมากขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการไทย

3. มาตรการกีดกันสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ

ประเด็นที่ประธานาธิบดีทรัมป์หาเสียงไว้หลายครั้งคือ นโยบาย Reciprocal Trade Act กล่าวคือหากประเทศไหนขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าสหรัฐฯ สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีกลับในอัตราที่เท่ากันในสินค้าเหล่านั้น นี่คือหนึ่งในหลักการสำคัญของการค้าที่เป็นธรรมในมุมมองของประธานาธิบดีทรัมป์ เพราะหลายประเทศในช่วงที่ผ่านมาคิดภาษีนำเข้าบนสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงกว่าที่สหรัฐคิดกับประเทศเหล่านั้น 

ในกรณีของประเทศไทย สินค้าหลักที่ไทยคิดภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงกว่าสหรัฐฯ ได้แก่ เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์อาหาร ยานพาหนะสำหรับการคมนาคม โดย KKP Research มองว่าสินค้าที่มีความเสี่ยงสูงสุดคือเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู เนื้อไก่ หรือเนื้อวัว เพราะหากดูสัดส่วนการนำเข้าของไทยจะพบว่าไทยนำเข้าสินค้าเหล่านี้น้อยเมื่อเทียบกับสัดส่วนที่สหรัฐฯ ส่งออกให้โลก ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะส่วนต่างของภาษีนำเข้าที่อยู่ในระดับสูง รวมไปถึงว่าไทยมีการใช้มาตรการปกป้องผู้บริโภคไทยจากสารเร่งเนื้อแดงของสหรัฐฯ ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff barrier) และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สินค้าจากไทยมีความได้เปรียบกว่าสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นธรรมและใช้เป็นเหตุผลในการขึ้นภาษีกับสินค้าไทยได้

ผลกระทบที่เป็นไปได้ต่อเศรษฐกิจไทย

สินค้าที่ไทยผลิตและส่งออกไปยังสหรัฐ ฯ อาทิเช่น ฮาร์ดดิสก์ ยางรถยนต์ เป็นต้นจะได้รับผลกระทบ
สินค้าที่เข้าข่ายเป็นสินค้าจีนที่ส่งผ่านไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ อาจมีแนวโน้มหดตัวในระยะข้างเนื่องจากนโยบายสหรัฐฯ ที่จะเพ่งเล็งสินค้านี้เป็นพิเศษรวมไปถึงการที่บริษัทจีนอาจเริ่มทยอยย้ายฐานการผลิตออกจากไทยมากขึ้นจากความกังวลเรื่องภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันเริ่มเห็นแนวโน้มนี้เกิดขึ้นแล้วในการส่งออก แผงโซล่าเซลล์ นับตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2024 เป็นต้นมา มูลค่าการส่งออกในหมวดแผงโซล่าเซลล์และอื่น ๆ ปรับตัวลดลงกว่า 80% ก่อนที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะดำรงตำแหน่งด้วยซ้ำ สาเหตุหลักคาดว่าเป็นเพราะบริษัทจีนเริ่มย้ายฐานการส่งออกออกจากไทยและย้ายไปตั้งฐานการส่งออกที่ลาวและอินโดนีเซียมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าทีสูงขึ้น ประเด็นนี้สะท้อนว่าการลงทุน FDI จากจีนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเข้ามาเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีจากสหรัฐฯ อาจลดลงหรือย้ายออกจากไทยหากสหรัฐฯ เล่นงานประเทศที่ได้รับประโยชน์จากเรื่อง China +1 ในช่วงที่ผ่านมา

ไทยอาจถูกบังคับให้นำเข้าเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ ไทยอาจต้องเลือกระหว่างลดภาษีนำเข้าและมาตรการกีดกันอื่นในกลุ่มสินค้าอื่นๆ (เช่น กลุ่มสินค้าเกษตร) เพื่อเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ หรือสินค้าส่งออกไทยอาจเผชิญกับภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น ความเสี่ยงนี้จะมีจำกัดในกรณีที่สหรัฐฯ ยังมองข้ามประเทศเล็กแบบไทยแต่หากสหรัฐฯ เพ่งเล็งมาที่ไทย สินค้าเกษตรจะเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญโดยเฉพาะเมื่อไทยยังคงมาตรการกีดกันสินค้าเกษตรที่มาจากสหรัฐฯ และหนึ่งในวิธีที่สหรัฐฯ อาจยอมลดภาษีนำเข้ากับไทยคือไทยอาจต้องยอมเปิดตลาดให้กับสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะเนื้อหมูและเนื้อไก่ ซึ่งเป็นประเด็นที่สหรัฐฯ ยกขึ้นมาในการเจรจาข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจ CPTPP

ในปัจจุบันหากไม่มีภาษีนำเข้า ราคาหมูที่นำเข้าจากสหรัฐฯ โดยเฉลี่ยยังสูงกว่าราคาในประเทศแต่ในระยะข้างหน้ามีโอกาสที่ราคาหมูในสหรัฐฯ จะลดลงต่ำกว่าราคาในประเทศไทยได้หากผู้ผลิตในสหรัฐฯ สามารถลดต้นทุนเฉลี่ยหลังขยายกำลังการผลิต  ส่วนราคาน่องไก่ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ ในปัจจุบันต่ำกว่าราคาในประเทศไปแล้ว ประเด็นนี้สะท้อนว่ามีความเสี่ยงไม่น้อยที่หากเปิดตลาดแล้วสินค้าเกษตรนำเข้าจะเพิ่มขึ้นและกดดันราคาผู้ผลิตภายในประเทศ

ไทยเตรียมรับแรงกระแทกจาก Trump 2.0

สินค้าจีนมีโอกาสทะลักเข้าไทยมากขึ้น 

ยิ่งสหรัฐฯ กดดันจีนมากเท่าไหร่ผ่านการขึ้นภาษีนำเข้า จีนอาจยิ่งตอบโต้ด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศและสนับสนุนให้ธุรกิจหาตลาดส่งออกอื่น โดยเฉพาะตลาดอาเซียน เพื่อแทนที่ตลาดสหรัฐฯ และยิ่งจีนกำลังดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายผ่านการลดดอกเบี้ย และทำให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง ยิ่งทำให้การนำเข้าสินค้าจากจีนถูกลงไปอีกทั้งหมดนี้อาจทำให้สถานการณ์สินค้าจีนทะลักในไทยไม่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นและยิ่งทำให้ภาคการผลิตจีนเข้ามาแทนที่ภาคการผลิตไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรกังวลถึงผลกระทบที่มาจากฝั่งของจีนอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไทยเปิดเสรีการค้ากับจีนค่อนข้างมากในขณะที่ยังมีการกีดกันการค้าบางส่วนกับสหรัฐฯ ซึ่งถ้าพิจารณาสินค้านำเข้าจากจีนที่ใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าระหว่างอาเซียน-จีน 10 อันดับแรกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จะพบว่าส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่กำลังมีปัญหาการถูกตีตลาด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า เหล็กประเภทต่าง ๆ ผลไม้อย่างองุ่น นอกจากนี้ อัตราการใช้สิทธิจากข้อตกลงทางการค้าของจีนยังต่ำกว่าข้อตกลงอื่น ๆ อยู่ ทำให้มีแนวโน้มที่จีนอาจใช้ช่องทางดังกล่าว หากสหรัฐฯ มีมาตรการที่รุนแรงกว่าที่คาด

ไทยเตรียมรับแรงกระแทกจาก Trump 2.0

ภาครัฐฯควรเตรียมพร้อมให้ดีกว่าเดิม

ทั้งนี้ KKP Research มองว่า สิ่งที่ภาครัฐควรทำคือเตรียมแผนสำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุดโดยเฉพาะกลยุทธ์ในการเจรจากับสหรัฐฯ เช่น สหรัฐฯ น่าจะต้องการอะไรจากไทย และมีสิ่งใดที่ไทยจะสามารถนำเสนอต่อสหรัฐฯ และผลกระทบในแต่ละทางเลือกเป็นอย่างไร เพื่อพิจารณาผลกระทบทางเศรษฐกิจได้อย่างรอบด้าน

บทเรียนสำคัญในทุกการเจรจาข้อตกลงการค้าคือทุกข้อตกลงจะมีผู้ได้และเสียประโยชน์อยู่ กรอบในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และจีนควรคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจโดยไทยในหลายมิติทั้ง ผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ การจ้างงาน และผลต่อผู้บริโภคซึ่งแต่ละกลุ่มอาจได้รับผลกระทบที่แตกต่างกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยในวันนี้แตกต่างจากสงครามการค้ารอบแรกในปี 2018 อย่างมาก ทั้งเศรษฐกิจที่ซบเซาลงจากปัญหาเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจจีนที่ไม่แข็งแกร่งเหมือนแต่ก่อนจนส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของโลกและไทยจากประเด็นการตีตลาดของสินค้าจีนจำนวนมากและทำให้ไทยขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งนักท่องเที่ยวจากจีนที่อาจไม่กลับมาโตได้ดีเท่าเดิม สถานะที่อ่อนแอลงทั้งเศรษฐกิจในประเทศและเสถียรภาพด้านต่างประเทศทำให้ในวันที่ประธานาธิบดีทรัมป์กลับมา สงครามการค้าจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจไทยมากกว่าเดิม โดยเฉพาะความเสี่ยงต่อดุลการค้าที่ไทยอาจไม่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ ฯ ได้มากเท่าในอดีตอีกต่อไป 

แชร์
เปิด 5 กลุ่มเสี่ยงโดนขึ้นภาษีจากนโยบายทรัมป์ ไทยเข้าข่ายเป้าหมายสหรัฐฯ