ในช่วงไม่กีปีที่ผ่านมาโลกของเราต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรคระบาด ปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อปากท้องคน ปัญหาสงครามและความขัดแย้งต่างๆ ปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพภูมิอากาศ หรือ ความก้าวล้ำของเทคโนโลยีที่ใครหลายคนกลัวว่าจะมาแย่งงานมนุษย์
ทำให้บริบททางสังคมเรานั้นได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันใครไม่พูดเรื่อง AI เรื่อง เทคโนโลยี ถือว่าเป็นคนที่ไม่ทันต่อโลกไปแล้ว เช่นเดียวกับผู้นําโลกทั้งหลายก็ต้องเปลี่ยนความคิด มีการตัดสินใจที่รวดเร็วมากขึ้น
บทความนี้ทีม SPOTLIGHT ได้สรุปสาระสำคัญจากงาน FUTUREADY 2025 โดยคุณปิยะชาติ อิศภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แบรนดิ คอร์ปอเรชัน จำกัด ที่กำลังชวนคนไทยคิดถึงประเทศไทยว่าเรากำลังอยู่จุดไหนของโลกในวันที่ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
คุณปิยะชาติ ได้เล่าว่า ได้มีโอกาสไปร่วมงาน World Economic Forum 2025 ที่เมือง Davos ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ผ่านมาหมาดๆ และได้มีการคุยกับผู้นำ และนักธุรกิจระดับโลกมากมาย แต่หนึ่งสิ่งที่ทุกคนพูดเหมือนกันคือ ‘เขาไม่ได้คุยแค่ประเทศของเขา แต่เขาคุยกันเรื่องโลกของเรา’ เพราะบริบทสังคมโลกของเราตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะมาก โดยเฉพาะ 2 A ที่ทุกคนพูดถึงในตอนนี้คือ
“ต้องยอมรับว่าตอนนี้การเติบโตว่ายากแล้ว แต่การเติบโตอย่างยั่งยืนนั้นเป็นเรื่องที่ยากกว่า แต่สิ่งที่ยากที่สุด คือ คนที่เก่งครึ่งๆกลางๆไม่สุดสักด้านอย่าง ‘ประเทศไทย’ ทำให้ตอนนี้เราต้องกลับมานั่งคิดว่า ประเทศไทยของเราเก่งอะไร? เรามีอะไรพิเศษ? แล้วที่สำคัญคือ เราจะดึงจุดแข็งให้กลายเป็นจุดเด่นออกมาได้อย่างไร?”
คุณปิยะชาติ ได้แชร์ 4 ประเด็นเรื่องที่เราควรต้องจับตามอง ในปี 2025 ผ่าน “ 4 ต ” ดังนี้ :
ปี 2025 นี้ เราอาจจะต้องตื่นตูมจับตามอง 2 ประเทศมหาอำนาจ อย่าง สหรัฐอเมริกา และ ประเทศจีน ใน 2 ประเด็นใหญ่ นั้นก็คือ :
หลายๆคนอาจจะคุ้นชินกับ Tech 1.0 ยุคเฟื่องฟูของสหรัฐ ทำให้เราได้เห็น บริษัทเทค Start Up สัญชาติสหรัฐเกิดขึ้นมากมาย
ปี 2024 ที่ผ่านมาถือได้ว่าเป็นปีแห่งความขัดแย้งมากที่สุดในรอบ 78 ปี โดยมีมากถึง 59 ความขัดแย้งระหว่างรัฐ (interstate conflicts) ไม่ว่าจะเป็น สงคราม การค้า หรือ เทคโนโลยี
เพราะหลังจากทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ โลกของเราก็อาจเผชิญความท้าทายรอบด้าน ข้อกำจัดในเรื่องการค้าก็มีมากขึ้น ไหนจะเรื่องกำแพงภาษีอีก
ปี 2025 จะเป็นช่วงเวลาแห่งความเปราะบางของโลกกับการเผชิญอากาศสุดขั้ว ร้อนจัด –หนาวจัด – แล้งจัด การเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพอากาศไม่ใช่เรื่องตลก คนที่ไม่เชื่อว่าโลกร้อน เป็นเพียงเพราะว่าคุณยังไม่เคยเจอกับตัวเองเท่านั้น
ทั้งหมดนี้เรา โลกของเรา ประเทศของเราไม่สามารถแก้ได้ในชั่วค่ำคืน แต่สิ่งที่จะช่วยแก้ได้ คือการเปลี่ยนผ่านที่ต้องหาตรงกลางให้เจอ และ “คนที่จับจังหวะการเปลี่ยนผ่านได้ถูก คือ คนที่อยู่รอดในยุคนี้” แล้วคำถามคือเราจะจับจังหวะอย่างไรให้ถูก มีอะไรที่เราควรรู้ ?
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจในโลกยุคปัจจุบัน คือการหาพันธมิตร ในปี 2024 ที่ผ่านมาเราได้เห็นมากกว่า 16 พันธมิตร ที่เกิดการจับมือ สร้างการประชุมเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น อาเซียน, BRICS หรือ G20
คุณปิยะชาติ ได้แชร์มุมมองว่า การเกิดขึ้นของพันธมิตรเหล่านี้ ก็เพื่อร่วมมือกันทางธุรกิจ ทางการค้า เพื่อให้พวกของตนมีอำนาจเจรจาต่อรองกับที่อื่นๆ
ปัจจุบันผู้บริโภคตัดสินใจโดยพิจารณาจากความชอบต่อแบรนด์ โดยได้รับอิทธิพลจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประเทศที่พวกเขาไว้วางใจ
อุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ผู้ผลิตชิป กำลังหาความมั่นคงด้านอุปทาน ในขณะเดียวกันก็รักษาความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนไว้ได้ เช่น ไอโฟน : ออกแบบในสหรัฐอเมริกา, สร้างขึ้นในไต้หวันโดยเครื่องจักรของยุโรป, บรรจุในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ประกอบในประเทศจีน
ประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการค้า Secure Supply Chain ทั้งหมด ทำให้เกิดการผลิตที่ต้นทุนถูกแต่คุณภาพดี
ประชากรวัยทำงานกำลังเผชิญกับปัญหาด้านทักษะ คนตกงาน เพราะสกิลไม่ตอบโจทย์ ในขณะที่ยังมีบทบาทสำคัญต่อรายได้ของครัวเรือน
อัตราการเกิดที่ลดลงและอายุยืนยาวเป็น 2 ปัจจัยสำคัญที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมและจะส่งผลต่อระบบสังคมอย่างแน่นอน
จากปัจจัยทั้งหมดนี้อาจส่งผลต่อค่าใช้จ่ายของรัฐบาลโดยตรง เพราะต้องแบกรับกับค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาและค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้สูงอายุ ดังนั้นประเทศต้องการ New Economic Model ที่ช่วยให้เด็กและผู้สูงอายุได้เรียนรู้ทักษะใหม่และสร้างรายได้
ไม่ว่าจะเป็น ระบบอัตโนมัติ, พลังงาน, เครื่องจักรอุตสาหกรรม, การค้าเพื่อสังคม, ขายของออนไลน์, เกมออนไลน์, การเรียนรู้ออนไลน์, สตรีมมิ่ง
1.อนาคตของ AI จะเป็นอย่างไร จะฉลาดแค่ไหน? (หากมนุษย์ฉลาดกว่า AI)
2.ทำอย่างไรเราถึงสามารถคุมกำเนิด AI ได้ ? (หาก AI ฉลาดเกินมนุษย์)
สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมเราที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ net zero ภายในปี 2050 คือธุรกิจทุกภาคส่วนหันมาใส่ใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น กลไกการตลาดที่เน้นเรื่องการกระทำที่เป็นมิตรต่อโลก การใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการต่างๆของธุรกิจ
โดย คุณปิยะชาติ ได้ยกตัวอย่างว่า หากธุรกิจมีกลยุทธ์การตลาด Blue Ocean Strategy ในอนาคตก็จะมี Green Ocean Strategy เข้ามาแทนที่ เช่น
เราอาจจะเคยได้ยินว่ามนุษย์เงินเดือนปัจจุบันต้อง ต้องมีความรู้ให้ลึกเฉพาะด้านถึงจะเป็นที่ต้องการในตลาด ส่วนบางคนก็อาจจะบอกว่า เราต้องมีความรู้ทุกด้านแต่ไม่จำเป็นที่จะรู้ลึก เหมือนกับ ‘สกิลเป็ด’ แต่ในวันที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบามสำคัญ เราจำเป็นที่จะต้องโอบรับความรู้ใหม่ๆเพื่อพัฒนาตัวเองให้อยู่รอดและเป็นที่ต้องการของตลาดและพัฒนาเป็น ‘เป็ดพรีเมียม’ รู้กว้างและรู้เยอะขึ้น และสิ่งที่ยากที่สุดในโลกอนาคต คือการทำงานร่วมกัน ระหว่าง คน และ AI แบบมีประสิทธิภาพ
7.การเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกใหม่
Harmonious Public-Private Partners - การทำงานร่วมกันอย่างแท้จริงระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อที่จะนำจุดแข็งของทุกภาคส่วนมาต่อยอดและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม เเม้เราต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน เหมือนกับ“ต้นไม้ไม่สามารถเติบโตได้ในดินที่ไม่ดี” องค์กรก็เช่นกัน จำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโต โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งมีบริบททางเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างจากตลาดโลก ดังนั้น องค์กรไทยต้องค้นหา Global Solutions ที่สามารถปรับใช้ให้เข้ากับบริบทท้องถิ่นได้ คุณปิยะชาติยังได้ตั้งคำถามสำคัญว่า "เราเก่งอะไร และควรเดินไปในทิศทางใดเพื่อสร้างความยั่งยืนบนเวทีโลก" โดยต้องคำนึงถึงสมดุลของ คน (People), โลก (Planet) และ ผลกำไร (Profit) เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง