แม้ว่า10 อันดับแรกของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยสูงสุดตลอดปี 2567 จะไม่มีรายชื่อของนักท่องเที่ยวอิสราเอลแต่สถิติการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวอิสราเอลที่เข้าไทยตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมาจนถึง 2 เดือนแรกของปีนี้ก็เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์จนน่าจับตามอง
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568 นักท่องเที่ยวอิสราเอลเที่ยวไทยเติบโตสูงถึง 125% หรือมีจำนวน 69,901 คน สูงเป็นประวัติการณ์ และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2567 จากข้อมูลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในปี 2567 ชาวอิสราเอลเที่ยวไทยมีจำนวน 2.8 แสนคน เติบโตกว่า 30% จากปี 2566
ประเทศไทยไม่ใช่จุดหมายปลายทางท่องเที่ยว 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวอิสราเอล แต่เป็น 1 ในจุดหมายปลายทางที่อัตราการเติบโตเร่งตัวขึ้นในปี 2567 จากรายงานของสำนักงานสถิติกลางของอิสราเอล ระบุว่า ในปี 2567 มีชาวอิสราเอลเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศประมาณ 7.1 ล้านคน ลดลง 22% จากปี 2566 ที่มีจำนวน 9.1 ล้านคน โดยชาวอิสราเอลเดินทางมาเที่ยวไทยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 4% ของชาวอิสราเอลที่เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศทั้งหมดและเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2566 อยู่ที่ราว2%
ทั้งนี้ข้อมูลของสนามบินนานาชาติเบ็น-กูรีย็อน ประเทศอิสราเอล พบว่า จุดหมายปลายทางที่ชาวอิสราเอลเดินทางไปต่างประเทศสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.กรีซ 2.สหรัฐอเมริกา 3.ไซปรัส 4.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ 5.ฝรั่งเศส ขณะที่ประเทศไทยติดอันดับที่ 15 ของจุดหมายปลายทางที่ชาวอิสราเอลเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศและเป็น 1 ในจุดหมายปลายทางที่มีอัตราการเติบโตที่เร่งขึ้น
โดยทั้งปี 2568 คาดว่านักท่องเที่ยวอิสราเอลเที่ยวไทยจะมีจำนวน 3.5 แสนคน เพิ่มขึ้น 25% จากปี 2567
สำหรับปัจจัยหนุนให้นักท่องเที่ยวอิสราเอล เดินทางมากขึ้นมาจากการหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและฮามาส ทำให้ชาวอิสราเอลเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยนักท่องเที่ยวอิสราเอลมีสัดส่วนประมาณ 0.9% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยทั้งหมด
ส่วน 5 จังหวัดในไทยที่มีนักท่องเที่ยวอิสราเอลเดินทางท่องเที่ยวมากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพฯ,ภูเก็ต,ชลบุรี ,แม่ฮ่องสอน ซึ่งปี 2566 นักท่องเที่ยวอิสราเอลเที่ยวที่แม่ฮ่องสอนประมาณ 3 หมื่นคน และเชียงใหม่
ขณะที่รายได้ท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นจากนักท่องเที่ยวอิสราเอลในปี 2568 คาดว่ามีมูลค่าประมาณ 29,350 ล้านบาท เติบโต 23% จากปี 2567 โดยนักท่องเที่ยวอิสราเอลเป็นกลุ่มที่มีค่าใช้จ่ายต่อทริปสูงเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8.3 หมื่นบาทต่อคนต่อทริป เนื่องจากระยะเวลาวันพักในไทยที่ยาวเฉลี่ยประมาณ 18.5 วัน
เมื่อคิดเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ประมาณ 4,500 บาท ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยการใช้จ่ายต่อวันของนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยประมาณ 8% แต่การใช้จ่ายต่อวันต่ำกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อนการระบาดโควิด ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 5,100 บาทต่อวัน กลุ่มนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็น Young Travellers โดยค่าใช้จ่ายต่อทริปประมาณ 38% เป็นค่าใช้จ่ายในกลุ่มโรงแรมและที่พัก ขณะที่รองลงมาจะเป็นค่าอาหารและเครื่องดื่มประมาณ 25% และค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและของที่ระลึก 13%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ ในช่วงท้ายบทวิเคราะห์ว่า แม้มองว่ากรณีนักท่องเที่ยวอิสราเอลที่แม่ฮ่องสอน น่าจะไม่ได้เปลี่ยนเทรนด์ตลาดนักท่องเที่ยวอิสราเอลเที่ยวไทยมากนัก อย่างไรก็ดี หน่วยงานภาครัฐและที่เกี่ยวข้องคงต้องดูแลและแก้ไขปัญหาใกล้ชิดต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นและการท่องเที่ยวในพื้นที่ในระยะยาว
สำหรับข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวกีฬา พบว่า ในปี 2567 ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามากกว่า 35 ล้านคน สร้างรายได้รวมกว่า 1.67 ล้านล้านบาทหรือคิดเป็นร้อยละ 15 ของ GDP และในปี 2568 นี้ รัฐบาลตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 39 ล้านคน สร้างรายได้ 98 พันล้านยูโร โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจากยุโรป 10.62 ล้านคน ทำรายได้จากภาคการท่องเที่ยวรวมกว่า 3 ล้านล้านบาท เป็นรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 2 ล้านล้านบาท โดยความพิเศษของปี 2568 คือ รัฐบาลประกาศให้เป็นปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025
สำหรับ 5 อันดับ นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยปี 2567 มากที่สุด ได้แก่
1. จีน 6,733,162 คน
2. มาเลเซีย 4,952,078 คน
3. อินเดีย 2,129,149 คน
4. เกาหลีใต้ 1,868,945 คน
5. รัสเซีย 1,745,327 คน
ส่วนตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-2 มี.ค.2568 มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าไทยสะสมทั้งสิ้น 7,021,344 คน สร้างรายได้แล้วประมาณ 343,405 ล้านบาท ส่วนนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1.จีน 1,053,138 คน
2.มาเลเซีย 879,864 คน
3.รัสเซีย 504,449 คน
4.เกาหลีใต้ 389,482 คน
5.อินเดีย 367,542 คน
ที่มา:ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ,กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา