บิตคอยน์ ราคาพุ่งแตะ 69,000 ดอลลาร์ สูงสุดในรอบ 2 ปี แรงหนุนหลักมาจากกองทุน Bitcoin ETF และ Bitcoin Halving โดยนักลงทุนกว่า 142 ล้านดอลลาร์หลังราคาพุ่งสูง และตลาดคริปโตฯ มีความผันผวนสูง
นักลงทุนจับตา! ราคาทองคำในประเทศพุ่งแตะ 37,000 บาท ใกล้เคียงจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ สาเหตุหลักมาจากเศรษฐกิจสหรัฐที่ไม่ดี ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำ และเงินบาทอ่อนค่า สมาคมค้าทองคำคาดการณ์ว่าราคาทองคำอาจไปถึง 38,000 บาทในปลายปีนี้
รายงานของ Forbesadviso ระบุว่า บิตคอยน์ (Bitcoin หรือ BTC) มีราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างมากจนทะลุราคาสูงสุดเดิม ทำสถิติใหม่ที่ 69,170 ดอลลาร์สหรัฐฯ และมีมูลค่าตลาดรวมกันเกือบ 1.35 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะนี้ราคาของ BTC ลดลงมาเล็กน้อย (1.89%) ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา และอยู่ที่ 65,944 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ดัชนีวัดความกลัวและความโลภของคริปโต (Fear and Greed Index) อยู่ในระดับ "ความโลภสูงสุด" (extreme greed) ราคาที่พุ่งสูงนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าที่จะมีการลดจำนวนรางวัลบิตคอยน์ หรือ Bitcoin Halving ซึ่งคาดการณ์ว่า จะผลักดันให้ราคาของคริปโตนี้พุ่งขึ้นไปอีก
การที่ราคาบิตคอยน์พุ่งแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 69,170 ดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากซบเซามาเป็นเวลา 2 ปี การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้เกิดจากความสนใจอย่างมากในกองทุน Spot Bitcoin ETF จากข้อมูลของ Farside Investors พบว่า มูลค่ากองทุน Bitcoin ETF พุ่งสูงขึ้นถึง 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับตั้งแต่ได้รับการอนุมัติให้ซื้อขายได้ช่วงต้นปี โดยเฉลี่ยแล้ว กองทุนเหล่านี้มีเงินลงทุนไหลเข้าประมาณ 210 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน
สำหรับราคาบิตคอยน์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ มาจากการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนรายย่อยที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากความสะดวกของกองทุน Spot Bitcoin ETF และการเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ Bitcoin Halving ที่กำลังจะเกิดขึ้น นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของบิตคอยน์ยังสอดคล้องกับตลาดคริปโตโดยรวมที่ฟื้นตัว โดย Ethereum (ETH) ก็ได้พุ่งแตะระดับ 3,755 ดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 15.05% ในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา
หลังจากที่บิตคอยน์ทำราคาสูงสุดตลอดกาลในวันที่ 5 มีนาคม 2024 นักลงทุนรีบถอนเงินเพื่อทำกำไรทันที โดยมีการถอนออกมากว่า 142 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในหนึ่งชั่วโมง
ทั้งนี้ พบว่า นักลงทุนจำนวนมากรีบขายทำกำไร โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์ม Binance ที่มีการแลกเปลี่ยนบิตคอยน์เป็น USDT (เหรียญที่ราคาผูกกับเงินดอลลาร์สหรัฐ) มากกว่า 142 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การขายทำกำไรนี้อาจเกิดจากความกังวลของนักลงทุนระยะสั้นว่า ราคาอาจจะตกลงหลังจากที่ตลาดบิตคอยน์พุ่งสูงขึ้นในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ลดลงประมาณ 5%
การถอนเงินไม่ได้จำกัดอยู่ที่บิตคอยน์เท่านั้น ตลาดคริปโตโดยรวมเห็นการถอนเงินออกมากกว่า 720 ล้านดอลลาร์สหรัฐญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง meme coin (เหรียญมีม) ที่โดนหนัก เหรียญอย่าง Dogwifhat (WIF), BONK, และ FLOKI ราคาร่วงลงมากกว่า 15% หลังจากบิตคอยน์ทำราคาสูงสุด ทั้งสามเหรียญนี้เคยมีช่วงที่ราคาพุ่งขึ้นสูงมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% ในหนึ่งสัปดาห์
ราคาบิตคอยน์พุ่งสูงมาก แต่นักลงทุนต้องระวังเพราะยังไม่มีความชัดเจนว่า ตลาดกำลังจะเป็นขาขึ้น (bull run) หรือเป็นแค่กับดักราคา (bull trap) ตลาดคริปโตฯ ผันผวนมาก กำไรที่เพิ่มอย่างรวดเร็วอาจหายได้ในพริบตา เพราะครั้งที่แล้วที่ราคาบิตคอยน์อยู่เหนือกว่า 57,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2021 ซึ่งราคาขึ้นไปสูงสุดแล้วก็ตกลงอย่างต่อเนื่อง (bear market) ต้นปี 2022 ราคาดิ่งลงมาถึง 32,987 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงไปเกือบ 42% ตลาดตอนนี้มีแนวโน้มคล้ายกับตอนนั้นซึ่งอาจกลายเป็นกับดักราคาได้
สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ดีของกองทุน Bitcoin ETF ที่มีเงินลงทุนไหลเข้าถึง 520 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันจันทร์ และเพิ่มขึ้นเป็น 577 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันอังคาร การลงทุนจำนวนมากนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 520 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในกองทุน BlackRock iShares ทำให้ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นแตะ 63,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนที่จะถึงช่วง Bitcoin Halving
ทั้งนี้ ตัวเลขของ BitMEX Research กองทุน BlackRock iShare นั้น มีเงินลงทุนสุทธิ 577 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวาน และเป็นกองทุนที่มีเงินทุนมากที่สุดด้วยจำนวนถึง 520 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับตั้งแต่เริ่มเปิดให้ซื้อขาย กองทุน Spot Bitcoin ETF ทั้งหมดมีปริมาณการซื้อขายสูงมาก และการที่สหรัฐฯ อนุมัติกองทุน Bitcoin Futures ETF ทำให้นักลงทุนตื่นตัวและมองตลาดคริปโตในแง่ดีมากขึ้น เหตุการณ์นี้เปิดโอกาสให้นักลงทุนจำนวนมากเข้ามาซื้อขายบิตคอยน์ ซึ่งดันให้ราคาและความต้องการซื้อสูงขึ้น
นี่เป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนที่จะหาผลประโยชน์จากราคาบิตคอยน์ที่พุ่งสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่มีทั้ง Bitcoin Halving และอัปเกรด ETH Dencun แต่ขอให้ลงทุนอย่างระมัดระวังที่สุด ตลาดคริปโตฯ มีความผันผวนสูงมาก และถ้าเราดูราคาในอดีตจะพบว่าบิตคอยน์ผันผวนรุนแรง บางครั้งราคาร่วงลงกว่าหนึ่งในสาม การพุ่งขึ้นในตอนนี้อาจจะเป็นแค่กับดัก และไม่มีใครบอกได้ว่าตลาดจะไปทางไหน
การที่ราคาทองทะลุ 36,000 บาท ต่อ 1 บาททองคำนี้ นับว่าเป็นราคาทองที่สูงสุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้
โดยสมาคมค้าทองคำ ระบุว่า สัปดาห์นี้ราคาทองในบ้านเราปรับขึ้นและลงต่อวันถี่ และหากนับจากวันที่ 1 มีนาคม 2567 เพียงแค่ 1 สัปดาห์ราคาทองในบ้านเราขึ้นมาแล้ว 1,500 บาทต่อ 1 บาททองคำ
สำหรับวันนี้ 7 มีนาคม 2567 ราคาทอง ณ ช่วงเวลา 11.30 ปรับ 4 รอบ เป็นการปรับขึ้นทุกรอบ รวมแล้ว 400 บาทต่อบาททองคำ
นายกสมาคมค้าทองคำ คุณจิตติ ตั้งสิทธิภักดี กล่าวกับ SPOTLIGHT ว่า บรรยากาศร้านทองรอบนี้แปลกกว่าทุกครั้ง ปกติเวลาทองแพง คนจะมาขาย แต่ทองขึ้นรอบนี้คนกลับมาซื้อมากกว่า คนมาขายทอง คาดว่า ประชาชนอาจจะขายทองคำกันไปเกือบหมดแล้ว พอทองขึ้นแรงรอบนี้เลยเหลือทองคำมาขายน้อยลง
สำหรับปัจจัยที่ทองคำขึ้นแรงรอบนี้ นายกสมาคมค้าทองคำบอกว่า เพราะปัจจัยในตลาดโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐช่วงนี้ออกมาไม่ค่อยดี ทั้งตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐ และแนวโน้มที่ธนาคารกลางของสหรัฐ จะลดดอกเบี้ยในช่วง ไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้ เลยทำให้ทองคำที่ถูกมองว่า เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย บรรดานักลงทุนสถาบัน กองทุน ธนาคารกลางประเทศต่างๆ จึงแห่เข้าไปซื้อทองเก็บเพิ่มทำให้ราคาทองปรับตัวสูงขึ้น
คำแนะนำในการลงทุนทองคำ มองว่า ช่วงนี้ต้องระมัดระวังเพราะราคาทองขึ้นมาเยอะแล้ว ส่วนราคาทองในประเทศจะไปแตะ 40,000 บาทนั้น มองว่า ยังเป็นเรื่องยาก แต่โอกาสจะไปถึงที่ราคา 38,000 บาท/บาททองคำ มีโอกาสเป็นไปได้โดยเฉพาะในช่วงปลายปีนี้
ด้านนางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เผยว่า ราคาทองคำในตลาดโลกได้ปรับตัวขึ้นสูงสุดเป็นประวัติกาลครั้งใหม่ที่ระดับ 2,160 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ส่งผลให้นับจากต้นปีราคาทองคำปรับขึ้นมาแล้วกว่า 4.50 % ซึ่งเป็นการปรับขึ้นมาอย่างน่าสนใจในรอบนี้เกิดขึ้นนับตั้งแต่ก้าวสู่เดือน มีนาคม เนื่องจากได้รับแรงหนุนหลายปัจจัย ดังนี้
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่ ในระยะสั้นอาจจะมีแรงขายทำกำไรสลับออกมา แต่ภาพของทองคำในระยะยาวของปี 2567 ทองคำยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น
โดยเป้าหมายใหญ่ของทั้งปี YLG ยังคงให้ไว้ที่ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์เนื่องจากในครึ่งปีหลังเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเข้าสู่ขาลง และตลาดคาดการณ์ว่า เฟดจะดำเนินนโยบายคงอัตราดอกเบี้ยต่ำไปต่อเนื่อง 2-3 ปี ดังนั้น ภาพใหญ่ 2- 3 ปี ทองคำจึงยังคงเป็นบวก
ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศ 96.5% เดินหน้าทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยราคาทำระดับสูงสุดใหม่ที่ระดับ 36,350 บาท/บาททองคำ ซึ่งนอกจากจะได้รับปัจจัยหนุนเช่นเดียวกับทองคำในตลาดโลกแล้ว ยังได้รับอานิสงส์มาจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอยู่ใกล้โซน 36 บาท
ดังนั้น ทองคำและบิตคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน แม้ราคาทั้งสองอย่างมีแนวโน้มขึ้น แต่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและลงทุนอย่างระมัดระวัง