แม้กระแสรักษ์โลกจะมาแรง แต่ตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในไทยก็ยังไม่ร้อนแรงเท่าที่ควร KResearch ชี้ว่าในปี 2567 รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจะยังมีส่วนแบ่งตลาดเพียงน้อยนิด สาเหตุหลักมาจากราคาผ่อนที่ยังสูงลิ่ว ทำให้ต้นทุนการเป็นเจ้าของตลอด 10 ปี แทบไม่ต่างจากรถใช้น้ำมัน แม้จะมีข้อดีเรื่องค่าพลังงานและค่าซ่อมบำรุงที่ถูกกว่าก็ตาม
บทความนี้จะพาไปดูถึงปัจจัยที่ฉุดรั้งตลาดรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า พร้อมภาพรวมอุปสรรคที่ทำให้ความต้องการยังต่ำ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าตลาดนี้จะไปต่ออย่างไร
จากการวิเคราะห์ของ KResearch พบว่าตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยยังคงขยายตัวในอัตราที่ค่อนข้างจำกัด โดยคาดการณ์ว่าในปี 2567 จะมีสัดส่วนทางการตลาดเพียง 1.6% เท่านั้น แม้ว่าจะมีการเติบโตขึ้นจาก 0.6% ในปี 2565 และ 1.2% ในปี 2566 ก็ตาม สำหรับ ปัจจัยสำคัญที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดนี้ คือ ค่าผ่อนชำระรายเดือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ต้นทุนการเป็นเจ้าของตลอดระยะเวลา 10 ปี ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับรถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้แก่ ค่าผ่อนรถ ค่าพลังงาน ค่าบำรุงรักษา และค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่
ต้นทุนการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 10 ปี ใกล้เคียงรถใช้น้ำมัน สะท้อนค่าผ่อนรถที่ยังสูง
ต้นทุนการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเทียบกับรถจักรยานยนต์ใช้น้ำมัน พบว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปี ต้นทุนรวมในการใช้งานแทบไม่แตกต่างกัน โดยรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามีต้นทุนรวมอยู่ที่ 140,000 บาท ขณะที่รถใช้น้ำมันอยู่ที่ 143,000 บาท ด้านค่าใช้จ่ายหลักที่ทำให้ต้นทุนรวมของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าใกล้เคียงกับรถใช้น้ำมัน คือ ค่าผ่อนรถที่ยังคงสูง โดยมีค่าผ่อนรถเฉลี่ยอยู่ที่ 85,000 บาท ตลอด 10 ปี ขณะที่รถใช้น้ำมันมีค่าผ่อนเฉลี่ย 61,000 บาท
อย่างไรก็ตาม รถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามีข้อได้เปรียบที่ชัดเจนในเรื่องของค่าพลังงาน โดยตลอด 10 ปี มีค่าพลังงานเพียง 15,000 บาท ขณะที่รถใช้น้ำมันมีค่าพลังงานสูงถึง 64,000 บาท นอกจากนี้ ค่าซ่อมบำรุงรวมการเปลี่ยนแบตเตอรี่ของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสูงกว่ารถใช้น้ำมัน โดยอยู่ที่ 40,000 บาท เทียบกับ 18,000 บาท ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจะมีข้อได้เปรียบในเรื่องค่าพลังงานและค่าซ่อมบำรุง แต่ค่าผ่อนรถที่ยังคงสูงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้นทุนรวมในการใช้งานใกล้เคียงกับรถใช้น้ำมัน หากราคาของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าลดลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับรถใช้น้ำมัน ก็มีโอกาสที่ผู้บริโภคจะหันมาใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
สำหรับตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญที่ส่งผลให้ความต้องการของผู้บริโภคยังอยู่ในระดับต่ำ จากภาพที่นำเสนอ เราสามารถสรุปปัจจัยหลักได้ 3 ประการ:
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ความต้องการรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในตลาดยังคงอยู่ในระดับต่ำ (Low Demand) เมื่อเทียบกับรถจักรยานยนต์แบบดั้งเดิม และแม้ว่าตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจะเผชิญกับความท้าทาย แต่ก็ยังมีโอกาสในการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ หากสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมาได้ เช่น การลดต้นทุนการผลิตเพื่อให้ราคารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าถูกลง การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานและลดต้นทุนการเปลี่ยนแบตเตอรี่ และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จที่ครอบคลุมและเข้าถึงง่าย นอกจากนี้ การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งในด้านการประหยัดพลังงานและการลดมลพิษ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นความต้องการของตลาดได้
ตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นและเผชิญกับความท้าทายหลายประการ อย่างไรก็ตาม ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีและนโยบายสนับสนุนที่เหมาะสม ตลาดนี้มีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคต การแก้ไขปัญหาเรื่องราคา ความเชื่อมั่น และโครงสร้างพื้นฐาน จะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่การเดินทางที่ยั่งยืนมากขึ้น