เมื่อยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารวมตัวกันเรียกร้องให้รัฐบาลผ่อนปรนเงื่อนไขและขยายระยะเวลาการผลิตภายใต้โครงการส่งเสริมการลงทุน EV 3.0 ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า ยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นตลาดสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของไทย ซึ่งประกอบด้วยบริษัทขนาดใหญ่จากจีนและญี่ปุ่น ได้ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลเพื่อขอขยายระยะเวลาการผลิตภายใต้โครงการส่งเสริมการลงทุน
สำหรับโครงการดังกล่าวประสบความสำเร็จในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนกว่า 1.44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการจัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งใหม่จากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน เช่น BYD Motors และ Great Wall Motor ซึ่งส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาค
แต่อย่างไรก็ตาม ยอดขายที่ไม่เป็นไปตามเป้า ซึ่งมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่สถาบันการเงินในประเทศไทยเพิ่มความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าแห่งประเทศไทย (EVAT) จึงได้ยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลเพื่อขอขยายระยะเวลาในการบรรลุเป้าหมายภายใต้โครงการส่งเสริมการลงทุนหลักของอุตสาหกรรมนี้ "ขณะนี้ เรากำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาเพื่อขอขยายระยะเวลาการผลิตออกไปอีกเล็กน้อย" นายสุรพงษ์ ไพสิฐพงษ์พานิช นายกสมาคมฯ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ โดยเปิดเผยข้อเสนอดังกล่าวซึ่งไม่เคยมีการรายงานมาก่อนหน้านี้
"เงื่อนไขเดิมกำหนดให้เราต้องเริ่มการผลิตภายในหนึ่งปี เราจึงใคร่ขอทราบว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะขยายระยะเวลาดังกล่าวออกไปอีกหนึ่งปี" นายสุรพงษ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรองประธานบริหารของ SAIC Motor-CP ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SAIC Motor และเครือเจริญโภคภัณฑ์ของไทย กล่าว
ภายใต้แผนส่งเสริมการลงทุน EV 3.0 บริษัทที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการสนับสนุนอื่น ๆ มีภาระผูกพันที่จะต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยภายในปีนี้ให้เท่ากับจำนวนรถยนต์ที่นำเข้าระหว่างปี 2565 ถึง 2566 และหากไม่สามารถบรรลุเป้าหมายตามกำหนดเวลาได้ ภาระหน้าที่ในปีหน้าจะทวีความเข้มข้นขึ้น เนื่องจากโครงการกำหนดให้บริษัทเหล่านี้ต้องผลิตรถยนต์ 1.5 คัน ต่อรถยนต์นำเข้า 1 คัน
นอกจากนี้ นายสุรพงษ์ยังเปิดเผยอีกว่า บริษัทจีนรายใหญ่ที่ผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงนี้ ได้แก่ BYD, MG Motor ซึ่งเป็นของ SAIC Motor Corp และ Great Wall Motor ด้าน BYD และ Great Wall Motor ไม่ได้ตอบกลับคำร้องขอความคิดเห็นจากสำนักข่าวรอยเตอร์ สำหรับการเรียกร้องสิทธิพิเศษนี้เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าใช้เพื่อบริหารจัดการยอดขายที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งรวมถึงการเข้าพบเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยในปีนี้ด้วย
ด้าน นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ซึ่งเป็นผู้ดูแลโครงการส่งเสริมการลงทุน ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากคณะรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน
อย่างที่ทราบกันว่าประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์และการส่งออกมายาวนาน โดยมีแบรนด์ญี่ปุ่นอย่าง Toyota Motor และ Honda Motor ซึ่งเป็นสมาชิกของ EVAT ครองตลาด และสำหรับ มาตรการส่งเสริมการผลิต EV ของรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยน 30% ของกำลังการผลิตรถยนต์ประมาณ 2 ล้านคันต่อปีให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2573
นายสุรพงษ์เสริมว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ในปีนี้อยู่ที่ 43,000 คัน และมีแนวโน้มว่าจะไม่บรรลุเป้าหมาย 100,000 คันของ EVAT ดังนั้นจากสถานการณ์นี้สะท้อนถึงความอ่อนแอในวงกว้างของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยการผลิตรถยนต์ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 หดตัวลง 17.28% จากปีก่อนหน้า คิดเป็นจำนวน 886,069 คัน
นายสุรพงษ์ กล่าวต่อว่า สถาบันการเงินลังเลที่จะอนุมัติสินเชื่อสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากส่วนลดจำนวนมากส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ "ภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงกำลังส่งผลให้สินเชื่อมีความเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งจะทำให้การจำหน่ายรถยนต์เป็นไปได้ยาก" เขากล่าวเสริม
ผลสำรวจเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า หนี้ครัวเรือนเฉลี่ยของไทยซึ่งอยู่ในระดับสูงที่สุดในเอเชียอยู่แล้ว ได้เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รายได้ที่ลดลง และค่าครองชีพที่สูง โดยในการประชุมกับธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อเดือนมิถุนายน ซึ่งรายละเอียดไม่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ EVAT ได้ผลักดันให้ธนาคารของรัฐให้สินเชื่อรถยนต์มากขึ้น สำหรับ ผลลัพธ์ของการประชุมครั้งนั้นคือ ธนาคาร สามารถคำนวณรายได้เป็นครอบครัวหรือครัวเรือนเมื่อพิจารณาการอนุมัติสินเชื่อ นายสยามรัฐ พนัสสร รองนายกสมาคมฯ กล่าว ด้านฝั่งธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้ตอบกลับคำร้องขอความคิดเห็นจากสำนักข่าวรอยเตอร์แต่อย่างได้
สถานการณ์ปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยกำลังเผชิญ ทั้งในด้านยอดขายที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายและปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
การเรียกร้องให้รัฐบาลขยายระยะเวลาการผลิตและผ่อนปรนเงื่อนไขต่างๆ ภายใต้โครงการส่งเสริมการลงทุน EV 3.0 เป็นความพยายามของผู้ผลิตในการรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาในระยะยาวจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการเงิน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยอย่างยั่งยืน
มาตรการต่างๆ เช่น การส่งเสริมการลงทุน การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และการให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับประโยชน์ของรถยนต์ไฟฟ้า ล้วนมีความสำคัญต่อการผลักดันให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายในการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า 30% ของกำลังการผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573
นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน การดำเนินนโยบายเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างรายได้ และลดค่าครองชีพ จะช่วยเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อรถยนต์และกระตุ้นยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
ความสำเร็จในการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยไม่เพียงแต่จะช่วยลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและลดมลพิษทางอากาศ แต่ยังเป็นการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต
ที่มา : REUTERS