เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา TikTok เรียกร้องให้ศาลอุทธรณ์ของสหรัฐอเมริกา ระงับกฎหมายแบนแอปพลิเคชั่น TikTok ที่กำลังจะเกิดในสหรัฐฯ เร็วๆ นี้ เนื่องจากขัดต่อ free speech หรือเสรีภาพในการพูด จากปัญหาความมั่นคงของชาติที่เกี่ยวข้องกับแอปแม่สัญชาติจีนก่อนหน้านี้
โดยภายใต้กฎหมายที่ลงนามโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนเมื่อต้นปีนี้ TikTok จะถูกแบนในสหรัฐฯ หากไม่ขายหุ้นของบริษัทแม่อย่าง ByteDance ภายในวันที่ 19 มกราคม 2025 หรือไม่กี่วันก่อนที่ประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ จะเข้ารับตำแหน่ง
ทั้งนี้ กฎหมายฉบับนี้ เกิดขึ้นในขณะที่เจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ ได้เตือนว่า จีนอาจบังคับให้ ByteDance แบ่งปันข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้ชาวอเมริกันกว่า 170 ล้านคน เพื่อใช้สอดแนม หรือบิดเบือนสิ่งที่ผู้ใช้งานเห็น เพื่อวัตถุประสงค์ในการโฆษณาชวนเชื่อ
ในระหว่างการพิจารณาคดีต่อหน้าคณะผู้พิพากษา 3 คน ในศาลอุทธรณ์สหรัฐอเมริกา เขตโคลัมเบีย Andrew Pincus หุ้นส่วนของ Mayer Brown ซึ่งเป็นตัวแทนของ TikTok ได้อ้างถึงการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ตามหลักรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 1 และโต้แย้งประเด็นที่ TikTok ถูกควบคุมโดยจีน หรือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ
“ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่รัฐสภาได้พุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้งานชาวสหรัฐฯ โดยเฉพาะการห้ามผู้ใช้งานชาวอเมริกัน 170 ล้านคน พูดและแสดงความคิดเห็นบนแพลตฟอร์ม โดยกฎหมายนี้ ได้วางมาตรการที่เด็ดขาด เพียงแค่จากการพิจารณาความเสี่ยงในอนาคตที่ไม่ชัดเจน บ่งบอกได้ว่า รัฐบาลยังไม่ได้แสดงหลักฐานเพียงพอเพื่อพิสูจน์ว่า กฎหมายเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดภายใต้รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาหรือไม่” Pincus กล่าว
Pincus เสนอว่า ศาลควรพิจารณาวิธีแก้ไขอื่นๆ แทนการแบน TikTok โดยสิ้นเชิง เช่น การบังคับให้ TikTok เปิดเผยเนื้อหาที่อาจ ถือว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเนื้อหานั้นเชื่อมโยงกับอิทธิพลจากต่างประเทศ วิธีนี้มุ่งเน้นไปที่ความโปร่งใส และจัดการกับความกังวลด้านความมั่นคงของชาติ โดยไม่จำกัดการเข้าถึงแพลตฟอร์มสำหรับผู้ใช้หลายล้านคน
นอกจากนี้ การขายกิจการให้สหรัฐฯ ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากแอป TikTok ไม่สามารถแยกออกมาแบบสแตนด์อโลนในสหรัฐฯ ได้ หลังจากที่จีนประกาศต่อสาธารณะว่า จะไม่ขายอัลกอริธึมการแนะนำของแพลตฟอร์มโดย ByteDance ให้สหรัฐฯ และมีกฎหมายควบคุมการส่งออก ที่จะขัดขวางการแยกตัวดังกล่าว
ไม่เพียงเท่านี้ TikTok อ้างว่า การโอนกิจการนั้นเป็นไปไม่ได้ ในเชิงเทคโนโลยี เชิงพาณิชย์ หรือทางกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในระยะเวลา 270 วัน บริษัทได้ขอให้ศาลออกคำสั่งห้ามการนับถอยหลังแม้ว่าผู้พิพากษา จะพบว่า มีประเด็นข้อเท็จจริงที่สำคัญที่ทำให้ไม่สามารถตัดสินคดีนี้ได้ทันที
อย่างไรก็ตาม Douglas Ginsburg ผู้พิพากษาระบุว่า TikTok กำลังมองประเด็นนี้แคบเกินไป และมุ่งเน้นแต่เรื่องของตัวเองมากเกินไปจนไม่เห็นภาพรวมของกฎหมาย กฎหมายนี้มีเจตนาให้ครอบคลุมบริษัททั้งหมด ที่เป็นเจ้าของโดยศัตรูต่างชาติ ไม่ใช่แค่ TikTok เท่านั้น
ส่วนผู้พิพากษาอีกราย กล่าวว่า การที่ทนายความของ TikTok ขอให้ศาลบังคับให้สภาคองเกรสแสดงหลักฐาน หรือเหตุผลเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนกฎหมายนี้ เป็นเรื่องที่แปลก เนื่องจากกฎหมายนี้ได้ผ่านการบังคับใช้แล้ว ทำให้การขอเหตุผลเพิ่มเติมภายหลัง จึงดูไม่เหมาะสมหรือไม่จำเป็น
ส่วน Daniel Tenny ทนายความของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ มองว่า ข้อมูลดังกล่าวอาจมีคุณค่าอย่างยิ่งต่อศัตรูต่างชาติ ที่พยายามจะบุกรุกความมั่นคงของประเทศ เพื่อรู้ว่า รูปแบบของชาวอเมริกันเป็นอย่างไร ใครคือผู้ติดต่อของพวกเขา พวกเขาไปที่ไหน พวกเขาโต้ตอบกับใคร และพวกเขาสนใจเนื้อหาประเภทใด
ถึงแม้ TikTok ได้ยื่นร้องขอข้อมูลเพื่อตรวจสอบจากทางศาล แต่หลักฐานของรัฐบาลสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ถูกจัดเป็นความลับ หรือหมายความว่า TikTok จะไม่สามารถมองเห็นหลักฐานดังกล่าวได้ เนื่องจากการแบ่งปันหลักฐานดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อความมั่นคงของชาติ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ TikTok ต่อสู้กับการที่สหรัฐฯ จะปิดตัวแอปลง ย้อนในปี 2020 TikTok ประสบความสำเร็จในการฟ้องร้องรัฐบาลสหรัฐฯ เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ในขณะนั้น ออกคำสั่งฝ่ายบริหารให้แบนแอปดังกล่าว โดยให้เวลา ByteDance 90 วันในการถอนทรัพย์สินในสหรัฐฯ และข้อมูลใดๆ ที่ TikTok รวบรวมไว้ในประเทศ
แต่ภายหลัง ทรัมป์ก็เปลี่ยนจุดยืนของตน โดยให้เหตุผลว่า เขาจะไม่แบน TikTok เนื่องจากเป็นผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เพื่อให้แน่ใจว่ามีการแข่งขันสำหรับ Meta ของ Mark Zuckerberg ที่เขาเคยวิพากษ์วิจารณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ปัจจุบัน TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่เติบโดอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่ปี จนสามารถท้าทาย Instagram ของ Meta และ YouTube ของ Google เป็นอย่างมาก รวมทั้ง กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเลือกตั้งสหรัฐฯ สำหรับแคมเปญของ ‘คามาลา แฮรริส’ ที่มียอดติดตามบน TikTok ถึง 5.3 ล้านราย และ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ที่ 11 ล้านราย เพื่อเข้าถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งวัยรุ่นโดยตรง
หาก ByteDance ยอมขายกิจการให้สหรัฐฯ ใครก็ตามที่ซื้อบริษัทนี้จะต้องมีเงินพอสมควร เนื่องจาก ByteDance มีมูลค่าประมาณ 2.68 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 8.91 ล้านล้านบาท และแม้ว่าธุรกิจของ TikTok ในสหรัฐฯ จะมีขนาดเล็กกว่ามาก แต่ก็ยังสามารถขายได้ในราคาประมาณ 4-5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 1.33-1.67 ล้านล้านบาท
โดยเทียบกับ ‘อีลอน มัสก์’ แล้ว เขาจ่ายเงิน 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.46 ล้านล้านบาท สำหรับการซื้อแพลตฟอร์ม X ในปี 2022
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ กล่าวว่า หาก TikTok โอนย้ายกิจการหรือถูกแบนในสหรัฐฯ จริง บริษัทที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุด คือ ‘Meta’ โดย Reels จะเป็นตัวเลือกสำรองสำหรับผู้ใช้งานสหรัฐฯ จำนวนมาก ส่วน YouTube Shorts ก็อาจได้รับประโยชน์เช่นกัน
ที่มา Financial Times, Nikkei Asia, Bloomberg