อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นหลายรายเริ่มทยอยถอนการลงทุนออกจากประเทศไทย สัญญาณนี้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในอุตสาหกรรมนี้ ซึ่งถูกกระตุ้นโดยการเติบโตอย่างรวดเร็วของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ผลิตรถยนต์จีน
บทความนี้ SPOTLIGHT จะเจาะลึกถึงสถานการณ์ปัจจุบันของอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นในประเทศไทย รวมถึงวิเคราะห์ถึงสาเหตุและผลกระทบของการถอนการลงทุน นอกจากนี้ ยังจะนำเสนอมุมมองเชิงลึกจากโครงการศึกษาวิจัยการลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย (TJRI) เกี่ยวกับอนาคตของอุตสาหกรรมนี้ และโอกาสสำหรับประเทศไทยในการปรับตัวและรักษาความเป็นผู้นำในภูมิภาค
โครงการศึกษาวิจัยการลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย (TJRI) ได้เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการถอนการลงทุนของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นหลายรายจากประเทศไทย โดยระบุว่าปัจจัยสำคัญมาจากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงจากรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีน และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว TJRI เสนอแนะให้ประเทศไทยและญี่ปุ่นร่วมมือกันเพื่อธำรงไว้ซึ่ง Supply chain อุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีมายาวนานกว่า 60 ปี และใช้สื่อภาษาญี่ปุ่น "THAIBIZ" เป็นช่องทางในการสื่อสาร เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและส่งเสริมการลงทุนจากญี่ปุ่น
นายกันตธร วรรณวสุ จาก TJRI กล่าวว่า การที่รัฐบาลยกเลิกนโยบายส่งเสริมรถยนต์ ECO Car ซึ่งเป็นนโยบายที่ดึงดูดให้ซูซูกิเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในปี 2550 เป็นเครื่องบ่งชี้ว่ารถยนต์ ECO Car ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายของรัฐบาลในการเป็น "ผลิตภัณฑ์แชมเปี้ยน" ได้ ส่งผลให้ซูซูกิตัดสินใจถอนการลงทุน
นายกันตธร วรรณวสุ จาก TJRI ให้ความเห็นว่า การปิดโรงงานของซูซูกิและซูบารุ ซึ่งเน้นการประกอบและจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ (CKD) เป็นผลกระทบโดยตรงจากนโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เนื่องจากยอดขายในประเทศไม่มากพอที่จะรองรับการผลิต อย่างไรก็ตาม การปิดโรงงานของทั้งสองค่ายยังไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมการผลิตรถยนต์ของประเทศไทยมากนัก
นายกันตธรยังมองว่า การตัดสินใจถอนหรือลดกำลังการผลิตของซูบารุ ซูซูกิ และฮอนด้า อาจเป็นกลยุทธ์ในการปรับโครงสร้างการผลิตทั่วโลก ซึ่งสอดคล้องกับกรณีของพานาโซนิคที่ปิดโรงงานเก่าในไทยและย้ายไปเวียดนาม หากยอดขายในประเทศไทยไม่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ก็อาจเป็นเหตุผลให้ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นอื่นๆ ตัดสินใจถอนการลงทุนในอนาคต
สำหรับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นอื่นๆ ที่ยังคงมีกำลังการผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก คาดว่าจะยังคงอยู่ในประเทศไทยต่อไปอีก 5-10 ปี อย่างไรก็ตาม หากตลาดในประเทศอินโดนีเซียหรือเวียดนามเติบโตขึ้นจนสามารถรองรับการผลิตได้ ก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นตัดสินใจย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทยในที่สุด
ธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์สร้างผลกำไรจากการสร้างความไว้วางใจให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการหลังการขาย และนำไปสู่การซื้อซ้ำในอนาคต อย่างไรก็ตาม สงครามราคาที่ค่ายรถยนต์จีนกำลังดำเนินอยู่อาจส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนของธุรกิจดีลเลอร์ การลดราคาอย่างรุนแรงทำให้ราคารถยนต์มือสองลดลง ผู้บริโภคจึงไม่สามารถขายรถยนต์คันเก่าเพื่อซื้อรถยนต์คันใหม่ได้ง่ายเหมือนเดิม ส่งผลกระทบต่อการซื้อซ้ำในอนาคตและอาจนำไปสู่ภาวะขาดทุนในระยะยาวสำหรับธุรกิจดีลเลอร์ ซึ่งแตกต่างจากแนวทางของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับเจ้าของธุรกิจดีลเลอร์มาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่บอร์ดอีวีประกาศมาตรการสนับสนุนรถยนต์ Hybrid ในเดือนกรกฎาคม 2567 ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นหลายรายแสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลไทยที่คำนึงถึง Supply chain รถยนต์สันดาปที่มีมายาวนานกว่า 60 ปี ญี่ปุ่นไม่ได้ปฏิเสธรถยนต์ EV แต่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงต้องใช้เวลา งานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมาเป็นโอกาสอันดีในการนำเสนอรถยนต์ Hybrid ซึ่งได้รับการตอบรับในเชิงบวกจากผู้บริโภคชาวไทย ทำให้บางค่ายมีแผนนำเข้าหรือผลิตรถยนต์ Hybrid ในประเทศไทยเพื่อจำหน่ายในอนาคตอันใกล้นี้
นายกันตธร วรรณวสุ จาก TJRI วิเคราะห์ว่า การถอนการลงทุนของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นในประเทศไทยมีสาเหตุหลายประการ เช่น การปรับตัวต่อการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ล่าช้า ยอดขายในประเทศที่ลดลง การยกเลิกนโยบายสนับสนุนเดิม และการส่งเสริมรถยนต์ EV ที่เอื้อประโยชน์ต่อค่ายรถยนต์จีนมากกว่า อย่างไรก็ตาม Supply chain ที่ไทยและญี่ปุ่นร่วมกันสร้างขึ้นมายังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทย จึงควรใช้สถานการณ์นี้เป็นกรณีศึกษาและร่วมมือกับนักลงทุนญี่ปุ่นเพื่อหาทางแก้ไขโดยเร็ว
นอกจากนี้ หลายค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยส่งเสริมให้พนักงานไทยไปฝึกงานที่ญี่ปุ่น สนับสนุนให้คนไทยก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งบริหาร และมีส่วนร่วมในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อปรับวัฒนธรรมองค์กรญี่ปุ่นให้เข้ากับบริบทของไทยและสอดคล้องกับแนวโน้มโลก ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวก
โครงการ TJRI เล็งเห็นปัญหาเชิงโครงสร้างของบริษัทญี่ปุ่นในการส่งพนักงานไปประจำต่างประเทศ ซึ่งมักมีการโยกย้ายทุก 3-5 ปี ทำให้ผู้บริหารญี่ปุ่นขาดความเข้าใจในบริบททางธุรกิจและวัฒนธรรมการทำงานของไทย โครงการฯ จึงเปิดตัวสื่อ "THAIBIZ" ในเดือนเมษายน 2567 เพื่อเป็นช่องทางนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับธุรกิจไทย-ญี่ปุ่น แก่นักธุรกิจญี่ปุ่นทั้งในไทยและญี่ปุ่น
THAIBIZ ประกอบด้วยเว็บไซต์ จดหมายข่าวรายวัน และนิตยสารรายเดือน ปัจจุบันมีสมาชิกในเครือข่ายกว่า 12,000 คน โครงการฯ หวังว่าภาครัฐและเอกชนไทยจะใช้ THAIBIZ เป็นช่องทางสื่อสารโดยตรงกับนักลงทุนญี่ปุ่น เพื่อกระตุ้นการลงทุนและสร้างความร่วมมือทางธุรกิจ
THAIBIZ เกิดจากการควบรวมเว็บไซต์ข่าวธุรกิจ TJRI และสื่อธุรกิจภาษาญี่ปุ่น "ArayZ" ซึ่งดำเนินกิจการในไทยมากว่า 10 ปี นิตยสาร THAIBIZ ฉบับแรกนำเสนอบทสัมภาษณ์พิเศษจาก CEO ชั้นนำของบริษัทญี่ปุ่นและไทย เพื่อให้นักธุรกิจญี่ปุ่นเข้าใจบริบททางธุรกิจของไทยมากขึ้น
นายกันตธร วรรณวสุ จาก TJRI กล่าวว่า "THAIBIZ มุ่งมั่นเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และดูแลนักลงทุนญี่ปุ่นทั้งภาครัฐและเอกชน เราเชื่อว่า THAIBIZ จะเป็นช่องทางสำคัญสำหรับบริษัทไทยที่ต้องการเข้าถึงนักธุรกิจญี่ปุ่น และส่งเสริมการลงทุนในประเทศไทย"
สรุป คือ แม้การถอนการลงทุนของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นบางราย แม้จะเป็นสัญญาณเตือนถึงความท้าทาย แต่ก็เป็นโอกาสสำหรับประเทศไทยในการปรับตัวและพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ให้ก้าวทันกระแสโลก การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ การพัฒนาทักษะแรงงาน และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน จะเป็นกุญแจสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และรักษาความเป็นผู้นำของไทยในอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคนี้
ความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่นยังคงเป็นสิ่งสำคัญในการนำทางและพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ต่อไป แม้จะมีความท้าทาย แต่ด้วยการปรับตัวเชิงกลยุทธ์และการทำงานร่วมกัน ไทยยังคงมีศักยภาพที่จะรักษาความแข็งแกร่งและเติบโตในอุตสาหกรรมยานยนต์โลกได้