ตัวเลขหนี้ครัวเรือนของไทยในปี 2567 ส่งสัญญาณชะลอตัว สร้างความหวังในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งวางใจไป เพราะเมื่อพิจารณาให้ลึกลงไป กลับพบสัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังคงน่ากังวล แม้ภาพรวมหนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะลดลง แต่เบื้องหลังตัวเลขดังกล่าว ยังมีประเด็นสำคัญที่ซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้ ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และความเปราะบางของครัวเรือนรายได้น้อยที่ต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบ
บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทย วิเคราะห์ 4 แนวโน้มสำคัญที่ต้องจับตา พร้อมสำรวจความท้าทายในการจัดการหนี้ของครัวเรือนแต่ละกลุ่ม เพื่อทำความเข้าใจปัญหาอย่างรอบด้าน และร่วมกันหาทางออกที่ยั่งยืน ก่อนที่วิกฤตหนี้จะลุกลามบานปลาย
แม้ภาพรวม หนี้สินภาคครัวเรือนของประเทศไทยในปี 2567 มีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 88.5-89.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์เชิงลึกเผยให้เห็นถึงมิติที่ซับซ้อนของสถานการณ์ ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาระหนี้สินของครัวเรือนไทยยังคงเป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง
สถิติ ณ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 ชี้ว่าอัตราการเติบโตของหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2546 (เพิ่มขึ้นเพียง 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า) ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการชะลอตัวนี้ประกอบด้วย การหดตัวของหนี้ในกลุ่มสินเชื่อยานยนต์ การเติบโตที่ชะลอตัวของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ในขณะที่หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคประเภทอื่นๆ ยังคงมีแนวโน้มขยายตัว เช่นเดียวกับหนี้จากสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (non-bank) และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (specialized financial institutions: SFIs)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังฟื้นตัวอย่างเชื่องช้าจะส่งผลกระทบต่อรายได้และกำลังซื้อของครัวเรือน ซึ่งจะจำกัดศักยภาพในการก่อหนี้ใหม่ นำไปสู่การคาดการณ์ว่าหนี้ครัวเรือนในปี 2567 อาจเติบโตต่ำกว่า 1.0%
อย่างไรก็ดี ผลการสำรวจสถานะหนี้สินครัวเรือนของศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ให้เห็นว่า ครัวเรือนในแต่ละกลุ่มรายได้มีความสามารถในการบริหารจัดการหนี้ที่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ แม้ภาพรวมของหนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะปรับตัวลดลง แต่ไม่อาจอนุมานได้ว่าทุกครัวเรือนจะมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงขึ้น หรือปัญหาหนี้สินในระดับครัวเรือนจะคลี่คลายลงในระยะเวลาอันสั้น
แม้ภาพรวมหนี้ครัวเรือนไทยจะแสดงแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 อัตราการเติบโตอยู่ที่เพียง 1.3% ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มจัดทำสถิติในปี 2546 ทว่า การวิเคราะห์เชิงลึกกลับเผยให้เห็นถึงพลวัตที่ซับซ้อน โดยสะท้อน 4 แนวโน้มสำคัญที่พึงพิจารณา ดังนี้
กล่าวโดยสรุป แม้ภาพรวมของหนี้ครัวเรือนจะชะลอตัวลง แต่การวิเคราะห์เชิงลึกในระดับองค์ประกอบ กลับบ่งชี้ถึงความแตกต่างของพฤติกรรมและความจำเป็นในการใช้จ่ายของครัวเรือนไทย รวมถึง การปรับตัวของครัวเรือนภายใต้สภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งจำเป็นต้องมีการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
ภาวะหนี้สินภาคครัวเรือนของประเทศไทยยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด แม้แนวโน้มโดยรวมจะชะลอตัวลงก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่า อัตราการขยายตัวของหนี้ครัวเรือนในปี 2567 อาจต่ำกว่า 1.0% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่าการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) แบบ Nominal สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังไม่เต็มศักยภาพ ประกอบกับผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ยังคงตกค้าง ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อเนื่องถึงรายได้และกำลังซื้อของครัวเรือน จำกัดศักยภาพในการก่อหนี้ใหม่ และบั่นทอนความสามารถในการชำระหนี้เดิม
จากการประเมินแนวโน้มดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงได้ปรับลดประมาณการสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ในปี 2567 ลงมาอยู่ที่ 88.5-89.5% แม้จะเป็นสัดส่วนที่ลดลงจาก 91.4% ในปี 2566 แต่ก็ยังคงสูงกว่าเกณฑ์ 80.0% ซึ่งธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ระบุว่า หากหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพของระบบการเงินในระยะยาว
ทั้งนี้ สถิติในไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 บ่งชี้ว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 89.6% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี ลดลงจาก 90.7% ในไตรมาสก่อนหน้า และเป็นการชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เคยอยู่ในระดับสูงถึง 95.5% ในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19
แม้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยจะเริ่มมีสัญญาณเชิงบวก แต่ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังและติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ และความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนในแต่ละกลุ่มรายได้ ซึ่งจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์เชิงลึกและประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้าน เพื่อกำหนดนโยบายและมาตรการในการบริหารจัดการความเสี่ยงทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ภาพรวมหนี้ครัวเรือนของประเทศไทยจะแสดงแนวโน้มชะลอตัวลง แต่การวิเคราะห์เชิงลึกโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย บ่งชี้ว่า สถานการณ์ในระดับครัวเรือนยังคงมีความเปราะบางและแตกต่างกันไปตามระดับรายได้ โดยผลสำรวจครัวเรือน 963 ตัวอย่างทั่วประเทศในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 เผยให้เห็น 3 ประเด็นสำคัญ ดังนี้
จากผลการสำรวจดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า แม้ภาพรวมหนี้ครัวเรือนจะชะลอตัวลง แต่สถานการณ์ในระดับครัวเรือนยังคงมีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อยที่ยังคงมีความเปราะบาง และครัวเรือนรายได้ปานกลางที่อาจเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อ ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณามาตรการในการช่วยเหลือครัวเรือนรายได้น้อย เช่น การส่งเสริมความรู้ทางการเงิน การปรับโครงสร้างหนี้ และการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ รวมถึงการติดตามและประเมินสถานการณ์หนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันความเสี่ยงและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว
แม้ว่าอัตราส่วนหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในภาพรวมของประเทศไทยจะแสดงแนวโน้มลดลง แต่การพิจารณาเชิงลึกเผยให้เห็นถึงประเด็นที่น่ากังวล อัตราการขยายตัวของหนี้ครัวเรือนยังคงสูงกว่าอัตราการเติบโตของค่าจ้างแรงงานเฉลี่ย (ดังแสดงในรูปที่ 2) ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางทางการเงินที่อาจเกิดขึ้น
จากการวิเคราะห์ข้อมูลระดับครัวเรือนจากผลสำรวจหนี้สินครัวเรือนไตรมาส 3/2567 ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 46 ที่ก่อหนี้จากความจำเป็น สาเหตุหลักประกอบด้วยรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่ายที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน และ/หรือ ขาดสภาพคล่องทางการเงินอันเนื่องมาจากเงินออมไม่เพียงพอต่อการรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ครัวเรือนกลุ่มดังกล่าวมีความอ่อนไหวต่อความผันผวนทางเศรษฐกิจมากกว่ากลุ่มอื่นๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ครัวเรือนแต่ละกลุ่มรายได้มีความสามารถในการบริหารจัดการภาระหนี้ที่แตกต่างกัน ดังนั้น ภาวะหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ที่ปรับตัวดีขึ้นในระดับมหภาค จึงไม่อาจเป็นตัวบ่งชี้ที่แท้จริงของสถานการณ์หนี้สินในระดับจุลภาค กล่าวคือ แม้หลายครัวเรือนจะสามารถประคับประคองสถานะทางการเงินและภาระหนี้สินได้ แต่ในขณะเดียวกัน ยังมีครัวเรือนจำนวนไม่น้อยที่กำลังเผชิญกับปัญหาสภาพคล่อง และมีความเสี่ยงที่จะตกอยู่ในภาวะหนี้สินล้นพ้นตัว
แม้ดัชนีชี้วัดหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของประเทศไทยในปี 2567 จะบ่งชี้แนวโน้มเชิงบวกด้วยอัตราการชะลอตัว ทว่าการพิจารณาในระดับมหภาคเช่นนี้อาจมิได้สะท้อนภาพความเป็นจริงในระดับจุลภาคได้อย่างครบถ้วน ผลการวิเคราะห์เชิงลึกเผยให้เห็นถึงภาวะการณ์ที่น่าเป็นกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเปราะบางทางการเงินของครัวเรือนในกลุ่มรายได้น้อย และปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ
ประเด็นปัญหาหนี้สินครัวเรือนมิใช่ปรากฏการณ์ใหม่ หากแต่เป็นวาระสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในวงกว้างมาอย่างต่อเนื่อง การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงมิอาจจำกัดอยู่เพียงการบริหารจัดการตัวเลขในระดับมหภาค แต่พึงดำเนินการเชิงรุกในระดับจุลภาคควบคู่กันไป
ดังนั้น การระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และสถาบันการเงิน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ระบบนิเวศทางการเงินที่เอื้อต่อการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน อาทิ การส่งเสริมวินัยทางการเงิน การขยายโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรมและโปร่งใส รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้ครัวเรือนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มครัวเรือนเปราะบาง สามารถปลดเปลื้องตนจากพันธนาการแห่งภาระหนี้สิน และบรรลุถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว
อ้างอิง KResearch