เศรษฐกิจจีนกำลังส่งสัญญาณเตือน! ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ออกมาต่ำกว่าที่คาด สะท้อนภาพการฟื้นตัวที่เปราะบาง ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงซบเซา การส่งออกที่ชะลอตัว และอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ แม้รัฐบาลจีนจะพยายามอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง แต่ดูเหมือนว่า "ยาแรง" ที่ออกมาจะยังไม่ตรงจุด และไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่รุมเร้าเศรษฐกิจจีนในระยะยาว
บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาคุณไปเจาะลึกสถานการณ์เศรษฐกิจจีน วิเคราะห์มาตรการรับมือของรัฐบาล พร้อมฟังความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาคำตอบว่าเศรษฐกิจมังกรจะสามารถกลับมาผงาดได้อีกครั้งหรือไม่?
สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า เศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวเพียง 4.6% นับเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2566 แม้ตัวเลขการบริโภคและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมจะออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงซบเซา กลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลจีนต้องเร่งแก้ไข เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง
แม้รัฐบาลจีนจะเดินหน้าออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่ตลาดยังคงรอความชัดเจนเกี่ยวกับรายละเอียด ขนาด และแผนงานในการฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะยาว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
ทั้งนี้ ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในไตรมาส 3 แม้จะสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เล็กน้อยที่ 4.5% แต่ก็ยังต่ำกว่าอัตราการเติบโต 4.7% ในไตรมาสที่ 2 สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจจีน ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน
นายบรูซ แพง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ JLL มองว่า ตัวเลขเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 3 ไม่ได้เหนือความคาดหมายของตลาด เมื่อพิจารณาจากอุปสงค์ภายในประเทศที่อ่อนแอ ปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์และการส่งออกที่ชะลอตัว
"มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาเมื่อปลายเดือนกันยายนคงต้องใช้เวลาสักระยะกว่าจะเห็นผล และต้องอาศัยความอดทนในการติดตามผลลัพธ์ในระยะยาว" นายแพงกล่าวเสริม
แม้ข้อมูลเศรษฐกิจจีนไตรมาสที่ 3 จะบ่งชี้ถึงการชะลอตัว แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนยังคงแสดงความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจีนจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ประมาณ 5% โดยได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ซึ่งรวมถึงการลดอัตราส่วนเงินสำรองที่ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงไว้ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ
ในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนภายหลังการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจ นาย Sheng Laiyun รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน กล่าวว่า จากการประเมินสถานการณ์โดยรวมคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 4 จะยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับแนวโน้มในเดือนกันยายน โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าเศรษฐกิจจีนจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตประจำปีที่ตั้งไว้
อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกในเดือนกันยายนจะสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้กำหนดนโยบาย แต่ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงเผชิญกับภาวะชะงักงัน ส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อรัฐบาลในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อพยุงเศรษฐกิจไม่ให้ทรุดตัวลง
นายเชน โอลิเวอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ AMP กล่าวว่า ตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมายังไม่อาจสะท้อนผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดล่าสุดที่ประกาศใช้ในเดือนกันยายน และยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงภาพรวมเศรษฐกิจจีนในเชิงพื้นฐาน โดยเศรษฐกิจจีนยังคงเติบโต แต่อยู่ในอัตราที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับศักยภาพในอดีต
ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ โดยสำนักข่าวรอยเตอร์ ชี้ว่า เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัว 4.8% ในปี 256 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลจีนตั้งไว้ และอาจชะลอตัวลงอีกเหลือ 4.5% ในปี 2567 หากไม่สามารถรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้เศรษฐกิจจีนไตรมาส 3 จะชะลอตัวลง แต่เจ้าหน้าที่จีนยังคงมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ประมาณ 5% โดยมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม รวมถึงการลดอัตราส่วนเงินสำรองของธนาคารพาณิชย์ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจ
นายเชิง ไหล่หยุน รองผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน เปิดเผยในการแถลงข่าวว่า "จากการประเมินอย่างรอบด้าน คาดว่าเศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 4 จะยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในเดือนกันยายน เรามั่นใจอย่างเต็มที่ว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ได้"
แม้ตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกในเดือนกันยายนจะสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้กำหนดนโยบาย แต่ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงอ่อนแอ และเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้รัฐบาลต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
นายเชน โอลิเวอร์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ AMP แสดงความเห็นว่า "ผมไม่แน่ใจว่าตัวเลขเหล่านี้จะได้รับผลกระทบจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาเมื่อเดือนกันยายนหรือไม่ โดยพื้นฐานแล้ว เศรษฐกิจจีนยังคงเติบโต แต่อยู่ในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับมาตรฐานในอดีต" ผลสำรวจของรอยเตอร์ ชี้ว่าเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัว 4.8% ในปี 2567 ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลปักกิ่งตั้งไว้ และอาจชะลอตัวลงอีกเหลือ 4.5% ในปี 2568
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจจีนไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ชี้ว่าเศรษฐกิจจีนขยายตัวเพียง 0.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.0% โดยภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเคยเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ ยังคงตกอยู่ในภาวะซบเซา และเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนถึง 25% ของ GDP จีน และเป็นสินทรัพย์หลักที่ครัวเรือนจีนใช้ในการสะสมความมั่งคั่ง คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ภาวะชะงักงันในภาคอสังหาริมทรัพย์ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และทำให้การใช้จ่ายภายในประเทศชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่อ่อนแอลง โดย EssilorLuxottica ผู้ผลิตแว่นตาชั้นนำระดับโลกเจ้าของแบรนด์ Rayban และ Oakley รายงานว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากอุปสงค์ในตลาดจีนที่หดตัว
แม้รัฐบาลจีนจะได้ดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์หลายระลอกในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่ปรากฏสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวที่ชัดเจน โดยข้อมูลล่าสุดเผยให้เห็นว่าราคาบ้านใหม่ในจีนปรับตัวลดลงในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2558
นอกจากนี้ ผลผลิตเหล็กดิบในเดือนกันยายนลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 สะท้อนถึงความต้องการใช้เหล็กในภาคก่อสร้างที่ยังไม่ฟื้นตัว ขณะเดียวกันภาคการส่งออกซึ่งเคยเป็นปัจจัยบวกของเศรษฐกิจจีนก็เริ่มแสดงสัญญาณชะลอตัว โดยอัตราการเติบโตของการส่งออกในเดือนกันยายนปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นจีนยังคงมีปฏิกิริยาต่อข้อมูลเศรษฐกิจและมาตรการของภาครัฐ โดยภายหลังจากที่ธนาคารกลางจีนประกาศมาตรการสนับสนุนตลาดหุ้นเพิ่มเติม ดัชนี CSI300 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.63% และดัชนี Shanghai Composite เพิ่มขึ้น 0.56%
แม้รัฐบาลจีนจะประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง แต่นักวิเคราะห์ มองว่า มาตรการดังกล่าวยังไม่สามารถตอบสนองต่อความท้าทายเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากเดิมรัฐบาลจีนมักใช้การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและภาคการผลิตเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งในปัจจุบันรัฐบาลจีนได้แสดงเจตนารมณ์ที่จะปรับเปลี่ยนแนวทาง โดยหันมาให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น
เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนได้ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินครั้งใหญ่ ประกอบด้วยการลดอัตราดอกเบี้ย การอัดฉีดสภาพคล่องจำนวน 1 ล้านล้านหยวน และมาตรการอื่นๆ เพื่อพยุงตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดทุน อย่างไรก็ตาม มาตรการต่างๆ ที่ออกมายังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้อย่างเต็มที่ โดยนักลงทุนยังคงรอความชัดเจนเกี่ยวกับขนาดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมและแผนงานที่เป็นรูปธรรมในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจจีนยังได้ให้ข้อสังเกตว่า รัฐบาลจีนควรเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างในระยะยาว เช่น ปัญหาการผลิตส่วนเกิน ระดับหนี้สินที่สูงและปัญหาสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
นาย Toru Nishihama หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัย Dai-Ichi Life ประเมินว่า "แม้จีนจะเริ่มทยอยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายระลอก แต่ประสิทธิผลของมาตรการเหล่านั้นยังคงเป็นที่น่าสงสัย รัฐบาลจีนยังขาดความแม่นยำในการดำเนินนโยบาย โดยมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่กลับละเลยปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญ"