โลกกำลังจับตามอง! สมรภูมิการค้าระหว่างสองมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน กำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้งในปี 2024 การขึ้นภาษีสินค้าจากจีนที่อาจสูงถึง 60% ส่งสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในห่วงโซ่อุปทานโลก คำถามคือ ใครจะเป็นผู้ชนะ? ใครจะเป็นผู้แพ้? และที่สำคัญ ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบอย่างไร?
บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกสถานการณ์ สงครามการค้า (Trade War) รอบใหม่ วิเคราะห์โอกาสและความท้าทายของเศรษฐกิจไทย พร้อมเผยยุทธศาสตร์สำคัญที่จะนำพาประเทศไทยฝ่าคลื่นลมแห่งสงครามการค้า และก้าวไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
การแข่งขันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง! นโยบายกีดกันทางการค้าที่พุ่งเป้าไปที่จีนกลายเป็นหนึ่งในประเด็นร้อนแรงในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2567 โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 60% และจากประเทศอื่นๆ อีก 10-20% ซึ่งสร้างความกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อในสหรัฐฯ และกระตุ้นให้เกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนอีกระลอก
แม้ประเทศไทยอาจได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตครั้งนี้ แต่คาดว่าจะเป็นเพียงบางส่วน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนอยู่เดิม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายของประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับตัวและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อคว้าโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก
สงครามการค้าระลอกแรกในปี 2561 นับเป็นหมุดหมายสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก แม้เวลาจะล่วงเลยมาถึง 6 ปี นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศใช้มาตรา 301 (Unfair Trade Practice Section 301) เพื่อขึ้นภาษีสินค้าจากจีน ภายใต้ข้อกล่าวหาเรื่องการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการลดปัญหาการขาดดุลการค้ากับจีน แต่ ณ ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกายังคงเผชิญกับภาวะขาดดุลการค้ากับจีนในระดับสูงถึง 2.79 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 26% ของยอดขาดดุลการค้ารวมของสหรัฐอเมริกาในปี 2566 ในขณะเดียวกัน จีนยังคงรักษาสถานะผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก ด้วยส่วนแบ่งการส่งออกทั่วโลกสูงถึง 14%
อย่างไรก็ดี สงครามการคาดังกล่าวได้ส่งผลให้ภูมิทัศน์ทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนพลิกโฉมไปอย่างสิ้นเชิง โดยมีประเทศที่สาม อาทิ กลุ่มประเทศอาเซียนและเม็กซิโก เข้ามามีบทบาทสำคัญในฐานะฐานการผลิตใหม่ของจีน เพื่อการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ข้อมูลจากรูปที่ 1 ชี้ให้เห็นว่า สหรัฐอเมริกาได้หันมานำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกเป็นอันดับหนึ่ง แทนที่จีน และมีแนวโน้มการนำเข้าจากอาเซียนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของจีนที่มุ่งเน้นตลาดส่งออกอาเซียนเป็นหลัก แทนที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของจีนไปแล้ว
ผลกระทบจากสงครามการค้ารอบแรก สะท้อนผ่านการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตราที่แตกต่างกัน ซึ่งส่งผลต่อรูปแบบการนำเข้าสินค้าของสหรัฐอเมริกาจากจีนอย่างชัดเจน โดยสามารถแบ่งกลุ่มสินค้าออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
แม้สินค้ากลุ่มที่ 3 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าสำเร็จรูปประเภทอุปโภคบริโภค อาทิ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และโน้ตบุ๊ก จะยังคงได้รับการยกเว้นการขึ้นภาษีนำเข้าในช่วงสงครามการค้าระลอกแรก แต่พฤติกรรมการนำเข้าของสหรัฐอเมริกากลับสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ โดยสหรัฐฯ มีแนวโน้มนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้จากแหล่งผลิตอื่นๆ เพิ่มสูงขึ้น ควบคู่ไปกับการนำเข้าจากจีนที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง บ่งชี้ถึงการปรับตัวเชิงรุกของห่วงโซ่อุปทานโลก เพื่อลดทอนความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้า
แม้สาธารณรัฐประชาชนจีนจะยังคงรักษาสถานะฐานการผลิตสินค้าสำเร็จรูปที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ แต่ผลพวงจากสงครามการค้าและวิกฤตการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ได้ผลักดันให้ภาคธุรกิจเอกชนหันมาตระหนักถึงความสำคัญของการกระจายความเสี่ยง โดยดำเนินกลยุทธ์การกระจายฐานการผลิตไปยังภูมิภาคต่างๆ อาทิ กลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN) และกลุ่มประเทศภายใต้กรอบความตกลงสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ส่งผลให้สหรัฐอเมริกามีปริมาณการนำเข้าสินค้ากลุ่มที่ 3 จากเวียดนาม ราชอาณาจักรไทย สหรัฐเม็กซิโก และสาธารณรัฐอินเดีย เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมวดสินค้า อาทิ โซลาร์เซลล์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยางล้อ ยารักษาโรค รถยนต์และชิ้นส่วน
ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี 2024 ไม่ว่าพรรคใดจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ชนะ ล้วนแต่มีแนวโน้มที่จะดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้ากับจีนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนระลอกใหม่ โดยพรรคเดโมแครตมีแนวทางในการใช้มาตรการกีดกันทางการค้ากับจีน ผ่านการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนในกลุ่มสินค้ายุทธศาสตร์
ขณะที่พรรครีพับลิกันมีท่าทีที่จะสานต่อสงครามการค้ารอบใหม่ ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในวงกว้าง ยิ่งไปกว่านั้น พรรครีพับลิกันยังมีนโยบายที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมอีก 100% จากประเทศที่ตัดสินใจยุติการใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ
หากสงครามการค้าระลอกใหม่เกิดขึ้นจริง คาดการณ์ว่าสินค้าในกลุ่มที่ 3 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าสำเร็จรูปประเภทอุปโภคบริโภค และยังไม่เคยถูกขึ้นภาษีนำเข้าในสงครามการค้ารอบแรก จะได้รับผลกระทบมากที่สุด (ดังแสดงในรูปที่ 3) และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนระลอกใหม่ เพื่อกระจายความเสี่ยงและลดผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า
ในกรณีที่เกิดการย้ายฐานการผลิตระลอกใหม่ ประเทศไทยคาดว่าจะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจในบางอุตสาหกรรมที่มีฐานการลงทุนเดิมอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการผลิตสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งจัดเป็นสินค้ากลุ่มที่ 3 ที่ยังคงได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม ประเทศเวียดนามและเม็กซิโกมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการย้ายฐานการผลิตในครั้งนี้ เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างต่ำใกล้เคียงกับประเทศจีน
หากวิเคราะห์ในเชิงลึก จะพบว่าแต่ละประเทศมีข้อได้เปรียบในสินค้าที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น เวียดนาม มีศักยภาพในการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน หูฟัง ของเล่น และเฟอร์นิเจอร์ ในขณะที่เม็กซิโก มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะรถกระบะ รถบรรทุกและชิ้นส่วนประกอบ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์
สำหรับประเทศไทย คาดการณ์ว่าจะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) สะสมอยู่เดิม อาทิ อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โซลาร์เซลล์ ชิ้นส่วนกล้องดิจิทัล ถุงมือการแพทย์ ถุงมือยาง น้ำผลไม้ อุปกรณ์โทรทัศน์ PCA และของเล่น เป็นต้น
การเตรียมความพร้อมรองรับการย้ายฐานการผลิตระลอกใหม่ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เสริมสร้างทักษะแรงงาน และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และเพิ่มพูนศักยภาพในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง อันจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยภายใต้สถานการณ์ Trade War 2024 ได้ว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรมที่มีฐานการลงทุนเดิมที่แข็งแกร่ง เช่น อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โซลาร์เซลล์ และชิ้นส่วนกล้องดิจิทัล เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้น ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคสำเร็จรูป เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และโน้ตบุ๊ก ในตลาดสหรัฐอเมริกายังคงมีแนวโน้มเติบโต ประกอบกับการได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับประเทศไทยในการขยายส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มสินค้าดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจำเป็นต้องตระหนักถึงความท้าทายที่สำคัญ ได้แก่ การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงจากประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอาเซียน เช่น เวียดนามและเม็กซิโก ซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า และความเชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องเร่งปรับตัวและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ และยกระดับศักยภาพในการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง นอกจากนี้ ผลกระทบทางอ้อมจาก Trade War เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ภาวะเงินเฟ้อ และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เป็นปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังและเตรียมรับมืออย่างรอบคอบ
จากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงประจักษ์ พบว่าประเทศไทยได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตในช่วง Trade War รอบแรก อย่างไรก็ดี การแข่งขันในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในอนาคต
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจไทย ภายใต้สถานการณ์ Trade War 2024 ประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับประเด็น ดังต่อไปนี้
โดยสรุป การเตรียมความพร้อม การปรับตัว และการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ประเทศไทยพึงดำเนินการ เพื่อคว้าโอกาส รับมือกับความท้าทาย และบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ท่ามกลางสถานการณ์ Trade War ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
แม้ว่านโยบายกีดกันทางการค้าหรือที่เรียกกันว่า "สงครามการค้า" ซึ่งสหรัฐอเมริกานำมาใช้ในปัจจุบัน อาจส่งผลดีต่อคะแนนนิยมทางการเมืองภายในประเทศ และเป็นเครื่องมือสำคัญในการเจรจาต่อรองเพื่อให้สหรัฐฯ ได้รับประโยชน์สูงสุดทางการค้าจากจีนและประเทศคู่เจรจาอื่นๆ แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ายุทธศาสตร์ดังกล่าวก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในวงกว้าง ยิ่งไปกว่านั้น หากประเทศคู่ค้าเลือกใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า ก็จะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลง ส่งผลลบต่อทิศทางการค้าและเศรษฐกิจโลกในภาพรวมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ในส่วนของประเทศไทย แม้จะได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตจากจีนในระลอกที่ผ่านมา แต่หากพิจารณาถึงปัจจัยด้านต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนามและเม็กซิโก ประกอบกับลักษณะสินค้าในกลุ่มที่ 3 ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการย้ายฐานการผลิตสูง แต่ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบจำกัด จึงคาดการณ์ได้ว่าประเทศไทยอาจได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตระลอกใหม่นี้ในขอบเขตที่จำกัด
อ้างอิง KResearch