Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
อะไรจะแพงขึ้นบ้าง? ถ้าทรัมป์ไม่ระงับขึ้นภาษีนำเข้าแคนาดา-เม็กซิโก-จีน
โดย : กองบรรณาธิการ SPOTLIGHT

อะไรจะแพงขึ้นบ้าง? ถ้าทรัมป์ไม่ระงับขึ้นภาษีนำเข้าแคนาดา-เม็กซิโก-จีน

4 ก.พ. 68
14:22 น.
|
33
แชร์

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่าเขาได้ตกลงที่จะระงับการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกเป็นระยะเวลา 30 วัน หลังจากหารืออย่างเป็นมิตรกับประธานาธิบดีคลอเดีย ไชน์บัม ของเม็กซิโก พร้อมกับข้อแลกเปลี่ยนที่เม็กซิโกจะส่งทหาร 10,000 นาย ไปประจำการที่ชายแดนทันที เพื่อยับยั้งการลักลอบนำเข้าเฟนทานิลและการอพยพผิดกฎหมายมายังสหรัฐฯ ขณะที่สหรัฐฯ ให้คำมั่นจะป้องกันการลักลอบนำเข้าอาวุธหนักเข้าสู่เม็กซิโก

หลังจากทรัมป์ออกมาประกาศเรื่องเม็กซิโกได้ไม่นาน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยืนยันว่า สหรัฐฯ จะระงับแผนการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาเช่นกัน หลังจากแคนาดาตกลงที่จะเพิ่มมาตรการป้องกันการลักลอบนำเข้ายาเสพติดเข้าสหรัฐฯ ล่าสุด มีรายงานว่า ทรัมป์กำลังจะหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนเช่นกัน 

ก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์ทางการเงิน สำนักข่าวต่างประเทศ รวมถึงตัวแทนหน่วยงานรัฐฯ หลายฝ่ายออกมาคัดค้านมาตรการขึ้นภาษีศุลกากรกับแคนาดาและเม็กซิโก 25 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 10 เปอร์เซ็นต์ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตั้งแต่เขาหาเสียงเมื่อปลายปีที่แล้ว โดยเกรงว่านโยบายดังกล่าวจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ อีกทั้งยังเป็นการผลักภาระให้กับผู้บริโภคในประเทศต้องจ่ายค่าสินค้าที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสินค้านำเข้าที่ถูกเก็บภาษีครอบคลุมตั้งแต่อาหารในชีวิตประจำวัน ชิ้นส่วนยานยนต์และรถยนต์ ไปจนถึงเชื้อเพลิงและพลังงาน Spotlight ชวนมาดูกันว่า จะมีสินค้าอะไรบ้างในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบแบบ “เต็ม ๆ” หากการเจรจาระหว่าง 4 ประเทศนี้ไม่สำเร็จ และการขึ้นภาษีศุลากากรมีผลบังคับใช้ในอีก 30 วัน

ราคาอาหาร-วัตถุดิบขึ้นแน่ ชาวอเมริกันเลี่ยงไม่ได้

สหรัฐฯ พึ่งพาการนำเข้าของอาหารหลักหลายประเภทจากแคนาดาและเม็กซิโก โดยเฉพาะผักและผลไม้จากเม็กซิโก ตามข้อมูลของกระทรวงเกษตรฯ สหรัฐฯ นำเข้าผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากเม็กซิโกมูลค่า 46,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.5 ล้านบาท สำหรับหมวดหมู่การนำเข้าสินค้าเกษตรที่ใหญ่ที่สุดจากเม็กซิโกคือผลไม้สด ซึ่งสหรัฐฯ นำเข้ามูลค่ากว่า 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แค่เฉพาะอะโวคาโด ก็คิดเป็น 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากยอดนำเข้าทั้งหมด รวมไปถึงผักสด 8,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ มูลค่า 5,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และสุรากลั่น 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกหนึ่งสินค้าสำคัญคือเมล็ดกาแฟจากเม็กซิโกที่นักดื่มกาแฟในอเมริกาจะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน

ขณะที่แคนาดาเป็นผู้นำในการส่งออกธัญพืช ปศุสัตว์และเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก และอื่นๆ โดยในปี 2024 สหรัฐฯ นำเข้าธัญพืชรวมถึงแป้งสำหรับประกอบอาหารจากแคนาดามากที่สุด คิดเป็น 8,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2.93 แสนล้านบาท รองลงมาเป็นเนื้อสัตว์หลากหลายประเภท คิดเป็นเนื้อวัวสูงถึง 6,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 2.18 แสนล้านบาท ตามมาด้วยน้ำตาล สัตว์ปีก ถั่วเปลือกแข็ง ผลิตภัณฑ์จากนมและไข่

แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วสหรัฐอเมริกาจะส่งออกสินค้าเกษตรมากกว่าสินค้านำเข้า แต่ตามข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา มูลค่าการนำเข้ากลับเพิ่มขึ้นเร็วกว่าสินค้าส่งออกในทศวรรษที่ผ่านมา นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังทำให้สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาประเทศต่างๆ เช่น เม็กซิโก ซึ่งมีสภาพการเจริญเติบโตของสินค้าเกษตรที่เอื้ออำนวยมากกว่า

เชื้อเพลิงและพลังงาน ลดภาษีเหลือ 10%

น้ำมันและก๊าซจากแคนาดา นับเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งที่สหรัฐฯ นำเข้าจากแคนาดาสูงที่สุดในแต่ละปี ด้านสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ ได้นำเข้าน้ำมันและก๊าซจากแคนาดามูลค่า 97,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 3.3 ล้านล้านบาทในปี 2024 โดยสหรัฐฯ พึ่งพาน้ำมันจากแคนาดามากขึ้นตั้งแต่มีการขยายท่อส่งน้ำมันทรานส์เมาน์เทนของแคนาดา 

ทั้งนี้ ภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์พลังงานของแคนาดาไม่ได้ขึ้นไปที่ 25% เช่นเดียวกับสินค้าส่งออกอื่น ๆ โดยรัฐบาลของทรัมป์เพิ่มภาษีนำเข้าเชื้อเพลิงและพลังงานจากแคนาดาอยู่ที่ 10% ซึ่งทอม โคลซา หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์พลังงานระดับโลกของ OPIS บริษัทข้อมูลด้านพลังงานสหรัฐฯ เชื่อว่าเป็นการช่วยลดผลกระทบต่อราคาน้ำมันเบนซิน อย่างไรก็ตาม การขึ้นภาษีดังกล่าวจะยังส่งผลกระทบต่อบริษัทยักษ์ใหญ่ไปจนถึงผู้บริโภคตัวเล็ก ๆ ในอเมริกาอย่างแน่นอน

ตัวแทนจาก OPIS เปิดเผยเพิ่มเติมว่า มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาพลังงานโดยปกติต่ำที่สุดในรอบปี เนื่องจากความต้องการที่ลดลงในปลายฤดูหนาว แต่หากมาตรการขึ้นภาษีมีผลบังคับใช้ยาวไปจนถึงฤดูร้อนที่ความต้องการใช้พลังงานและเชื้อเพิ่มเพิ่มมากขึ้น ก็จะสร้างผลกระทบในระดับที่รุนแรงขึ้นหลายเท่า

แม้นักวิเคราะห์คาดว่าผลกระทบที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นจะมีความรุนแรงแตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่ของสหรัฐฯ แต่พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจะอยู่ในแถบ “มิดเวสต์” ของสหรัฐฯ เนื่องจากน้ำมันของแคนาดาส่วนใหญ่ถูกส่งไปยังโรงกลั่นในแถบมิดเวสต์ ผ่านท่อส่งน้ำมัน ซึ่งรัฐที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ ไอดาโฮ อิลลินอยส์ อินเดียนา ไอโอวา แคนซัส เคนตักกี้ มิชิแกน มินนิโซตา มิสซูรี มอนทานา เนแบรสกา นอร์ทดาโคตา โอไฮโอ เพนซิลเวเนีย เซาท์ดาโคตา และวิสคอนซิน

รถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ ที่บริษัทอเมริกันโดนเสียเอง

กระทรวงพาณิชย์ฯ เปิดเผยว่า สหรัฐฯ นำเข้ายานยนต์มูลค่า 87,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (2.96 ล้านล้านบาท) และชิ้นส่วนรถยนต์มูลค่า 64,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ  (2.17 ล้านล้านบาท) จากเม็กซิโกในปี 2024 โดยไม่รวมเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นสินค้า 2 อันดับแรกที่นำเข้าจากเม็กซิโก ขณะที่ ยานยนต์เป็นสินค้าที่ใหญ่เป็นอันดับสองที่สหรัฐฯ นำเข้าจากแคนาดาในช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยมีมูลค่ารวม 34,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1.15 ล้านล้านบาท)

แมรี เลิฟลี นักวิจัยอาวุโสแห่งสถาบัน Peterson Institute for International Economics กล่าวว่าผู้ประกอบการอุตสาหกรรมภาคยานยนต์มีแนวโน้มที่จะไม่พอใจต่อการขึ้นภาษีศุลกากรในครั้งนี้ เนื่องจากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทผลิตรถยนต์ในสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนฐานการผลิตไปอยู่ที่เม็กซิโก เพื่อลดต้นทุนการผลิตด้านค่าจ้างแรงงานที่ถูกกว่าค่าแรงในอเมริกาหลายเท่า เมื่อการนำเข้าภาษีมีผลบังคับใช้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือผู้ผลิตของสหรัฐฯ เอง ซึ่งผู้ผลิตยานยนต์ไม่น่าจะย้ายการผลิตไปที่อื่นได้ เนื่องจากพวกเขาได้ลงทุนกับโรงงานไปแล้วด้วยเงินมหาศาล และเป็นเรื่องยากที่จะจัดหาแหล่งวัตถุดิบทั้งหมดสำหรับการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนจากที่อื่น

เหล็กป้อนอุตสาหกรรมทั่วประเทศ

แม้ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจะไม่เน้นการผลิตเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป แต่ก็ยังคงต้องใช้เหล็กกล้าหลายสิบล้านตันต่อปี เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การผลิตรถยนต์ การผลิตน้ำมัน การก่อสร้าง และโครงสร้างพื้นฐานสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งอเมริกา (American Iron and Steel Institute) เปิดเผยว่า 1 ใน 4 ของเหล็กกล้าที่อเมริกานำเข้ามาจากแคนาดา ในขณะที่เม็กซิโกคิดเป็นประมาณ 12% ของปริมาณทั้งหมด ทั้งนี้ แคนาดาเป็นผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่ที่สุดให้กับสหรัฐฯ ส่วนเม็กซิโกส่งออกมากที่สุดเป็นอันดับสาม

ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ดำรงตำแหน่งในวาระแรก รัฐบาลของเขาได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าเหล็กจากประเทศส่วนใหญ่ทั่วโลกในอัตรา 25% โดยมีผลตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2018 แต่เม็กซิโกและแคนาดาได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าดังกล่าวภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีกับสหรัฐอเมริกา

บ้านที่แพงขึ้น จากวัสดุก่อสร้าง

สหรัฐฯ นิยมสร้างบ้านด้วยไม้เนื้ออ่อน ที่มีน้ำหนักเบา แปรรูปได้ง่าย และมีความแข็งแรง ซึ่งได้มาจากไม้สนหลากหลายชนิด นำมาแปรรูปประกอบโครงสร้างบ้าน เช่น โครงหลังคา และผนังบ้าน ดังนั้น ไม้เนื้ออ่อยจึงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในอุตสาหกรรมการสร้างบ้านของสหรัฐอเมริกา ซึ่งสหรัฐฯ นำเข้าไม้เนื้ออ่อนส่วนใหญ่จากแคนาดา นับเป็น 30% ของปริมาณที่ใช้ทั้งหมด

ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์และอุตสาหกรรมก่อสร้างต่างออกมาเตือนว่า ในปัจจุบันอเมริกายังไม่มีกำลังการผลิตทางอุตสาหกรรมสร้างบ้านเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการได้ และการเก็บภาษีหรือตัดการนำเข้าไม้จากแคนาดาอาจทำให้เกิดวิกฤตการซื้อขายบ้านในประเทศได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง

ไม่ใช่แค่ไม้เนื้ออ่อนเท่านั้นที่เกิดภาวะเสี่ยงจากการเก็บภาษี สมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ เปิดเผยว่า

สหรัฐฯ ยังต้องการปูนขาวและยิปซัมมากถึง 71% ของปริมาณที่ต้องการทั้งหมด ซึ่งในปี 2023 เม็กซิโกส่งออกปูนขาวและยิปซัมให้สหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่า 456 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.55 หมื่นล้านบาท

หากคำนึงถึงวัตถุดิบและส่วนประกอบอื่นๆ ที่นำเข้าจากแคนาดา เม็กซิโก รวมถึงจีน (โดยเฉพาะเหล็ก อลูมิเนียม และเครื่องใช้ในบ้านที่อยู่ภายใต้ภาษีศุลกากรอยู่แล้ว) ภาษีศุลกากรใหม่ของทรัมป์อาจทำให้ต้นทุนของวัสดุก่อสร้างที่นำเข้าเพิ่มขึ้น 3,000 - 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว 

อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ของเล่น 

ข้อมูลด้านการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ระบุว่าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค เป็นสินค้าหลักที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีนเมื่อปี 2024 ซึ่งรวมถึงโทรศัพท์มือถือ ทีวี แล็ปท็อป คอนโซลวิดีโอเกม จอภาพ และส่วนประกอบทั้งหมดที่ใช้พลังงานจากอุปกรณ์เหล่านี้

จีนยังเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของเครื่องใช้ในบ้านอีกด้วยโดยรวมถึงของเล่นและรองเท้าก็ได้รับผลกระทบจากการขู่ขึ้นภาษีของทรัมป์เป็นพิเศษ โดยกลุ่มการค้า Footwear Distributors & Retailers of America เปิดเผยว่า 99% ของรองเท้าที่ขายในสหรัฐฯ นำเข้าจากจีนเกือบทั้งหมด และรองเท้าที่ขายในสหรัฐฯ 56% ผลิตในประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Nike, Steve Madden, Cole Haan และแบรนด์รองเท้าชื่อดังอื่น ๆ

สหรัฐอเมริกายังต้องพึ่งพาจีนสำหรับของเล่นและอุปกรณ์กีฬา เช่น ลูกฟุตบอล ลูกซอคเกอร์ และเบสบอล ไปจนถึงของเล่นเด็ก ซึ่งนำเข้าสูงถึง 75% จากจีน

แชร์
อะไรจะแพงขึ้นบ้าง? ถ้าทรัมป์ไม่ระงับขึ้นภาษีนำเข้าแคนาดา-เม็กซิโก-จีน