นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำประเทศไทย ธนาคารโลก(เวิลด์แบงก์) เปิดเผยว่า ธนาคารโลกปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการเติบโตของศรษฐกิจ (จีดีพี) ของไทยในปี 2565 เป็นเติบโต 3.9% จากเดิมที่คาดไว้จะเติบโต 3.6% ซึ่งเป็นการฟื้นตัวจากปี 2564 ที่คาดว่าจะเติบโตได้ราว 1% จากนนั้นในปี 2566 จะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 4.3% เนื่องจากได้ปัจจัยแรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของกิจกรรมภาคบริการ การบริโภคภาคเอกชน และการท่องเที่ยวที่กลับมาเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าในปี 2565 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 7 ล้านคน
โดยจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งหลังของปีและเพิ่มขึ้นอีกในปี 2566 เป็นประมาณ 20 ล้านคนหรือประมาณครึ่งหนึ่งของระดับนักท่องเที่ยวในปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 โดยคาดว่าการท่องเที่ยวจะมีผลต่ออัตราการเติบโตของจีดีพีในปี 2565 ได้ราว 2% และ ในปี 2566 ได้ราว 4%
ทั้งนี้ประเมินภาวะเศรษฐกิจของไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วหลังเผชิญผลกระทบอย่างหนักจากวิกฤตโควิด-19 และเริ่มฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาส 4/64 ทั้งนี้ คาดว่าภาวะเศรษฐกิจของไทยจะกลับสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ได้ในปลายปี 2565 โดยเป็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการส่งออกและมาตรการภาครัฐ หลังสามารถกระจายการให้บริการวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรได้ทั่วถึงมากขึ้นใกล้เคียง 70% ของประชากรทั้งหมดภายในปีนี้
โดยทำให้อัตราการเสียชีวิตมีแนวโน้มลดลง แต่ระบบเศรษฐกิจยังมีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การกระจายตัวของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่, การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และการขาดแคลนชิ้นส่วนในระบบห่วงโซ่การผลิต ขณะที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้
ขณะที่ตลาดแรงงานยังมีความเปราะบาง มีการย้ายฐานจากแรงงานภาคอุตสาหกรรมไปสู่ภาคเกษตรกรรม แต่มาตรการภาครัฐที่ออกมาก่อนหน้านี้สามารถช่วยประคับประคองไว้ได้
สำหรับภาวะหนี้สาธารณะของประเทศมีสัดส่วน 58.1% ของจีดีพีในปี 2563 จะขยับเพิ่มเป็น 62.2% ของจีดีพีในปี 2564 และ 61.6% ของจีดีพีในปี 2565 ซึ่งอยู่ในภาวะที่สามารถควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ไม่เกิน 70% ของจีดีพีได้ โดยธนาคารโลกเห็นว่ายังมีพื้นที่ทางการคลังที่เพียงพอในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือแบบเจาะจงเฉพาะกลุ่ม
ส่วนมาตรการการให้เงินเยียวยารวมถึงการเริ่มด้านสาธารณสุข โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และมาตรการสนับสนุนด้านการคลังในรูปแบบอื่นๆ ได้ช่วยหนุนอุปสงค์ของภาคเอกชน ขณะเดียวกันก็สนับสนุนการบริโภคในกลุ่มครัวเรือนเปราะบาง และช่วยลดผลกระทบของวิกฤตความยากจนด้วย
นอกจากนี้การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการสนับสนุนการฟื้นตัวของประเทศไทยหลังวิกฤตโควิด-19 พร้อมกับการส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว โดยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการใช้บริการดิจิทัลมีเพิ่มมากขึ้นในช่วงเกิดการแพร่ระบาดเป็นผลมาจากมาตรการควบคุมการเดินทาง มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในธุรกิจต่างๆ ช่วยส่งเสริมการค้าขายและผลผลิตที่เพิ่มขึ้น มีการค้าดิจิทัลเป็นช่องทางที่สำคัญสำหรับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSMEs) ในประเทศไทย ที่ช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรมและช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ได้
ขณะที่รัฐบาลไทยได้แสดงเจตจำนงค์ที่จะผลักดันวาระดิจิทัลภายใต้นโยบายอุตสาหกรรม 4.0 แต่ยังมีอีกหลายสิ่งที่สามารถดำเนินการได้เพื่อพัฒนาบริการดิจิทัลและธุรกิจดิจิทัล ได้แก่
1.ความพยายามส่งเสริมการแข่งขันและสร้างสภาวะแวดล้อมในการประกอบธุรกิจที่เป็นธรรมนั้นมีความจำเป็นเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของตลาดและเพิ่มความสามารถในการทำงานร่วมกันของระบบดิจิทัล
2.ความพร้อมของทักษะดิจิทัล พร้อมกับทักษะที่จะช่วยส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัล เช่น การจัดการและบริหารองค์กร
3.การขยายการเข้าถึงนวัตกรรมของแหล่งเงินทุนจะช่วยเพิ่มความสามารถของบริษัทต่างๆ โดยเฉพาะ SMEs ในการใช้รูปแบบธุรกิจใหม่ๆ และเทคโนโลยีดิจิทัล