ข่าวเศรษฐกิจ

สินค้าไม่ควรขึ้นราคา จากดีเซลแพง กรมการค้าภายใน ยันกระทบต้นทุนการผลิตน้อย ไม่เกิน5%

14 ก.พ. 65
สินค้าไม่ควรขึ้นราคา จากดีเซลแพง  กรมการค้าภายใน ยันกระทบต้นทุนการผลิตน้อย ไม่เกิน5%
ไฮไลท์ Highlight
"ตัวอย่างผลการวิเคราะห์ เช่น สินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่ม มีต้นทุนเพิ่มขึ้น 1.45%  ของใช้ประจำวัน เพิ่ม 1.1% วัสดุก่อสร้าง เพิ่ม 1.2% กระดาษและผลิตภัณฑ์ เพิ่ม 5% ปัจจัยการเกษตร เช่น ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช เพิ่ม 0.5% เป็นต้น ส่วนต้นทุนในด้านการขนส่ง กรมฯ ได้มีการติดตามเช่นเดียวกัน พบว่า มีผลกระทบมากน้อยต่างกัน แล้วแต่ชนิดสินค้า แต่โดยภาพรวม ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ" 

กรมการค้าภาย เปิดเผย ผลการวิเคราะห์น้ำมันดีเซลต่อต้นทุนการผลิตสินค้า พบปรับเพิ่มขึ้นไม่มาก ไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลปรับขึ้นราคาได้ ขอให้ตรึงราคาไปก่อน พร้อมเชิญภาคอุตสาหกรรมหารือเป็นรายกลุ่ม

 

14 ก.พ.65 นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบต้นทุนน้ำมันดีเซลต่อต้นทุนการผลิตสินค้า ตามที่ได้รับการสั่งการจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยได้ทำการวิเคราะห์ต้นทุนน้ำมันดีเซลที่ 25 บาทต่อลิตร เพิ่มเป็น 30 บาทต่อลิตร  พบว่า ราคาน้ำมันดีเซลที่ขึ้นมา 5 บาท มีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าไม่มาก จึงไม่ใช่เหตุผลที่ผู้ผลิตจะใช้ในการปรับขึ้นราคา และได้ขอความร่วมมือให้ตรึงราคาสินค้าไปก่อน

 

"ตัวอย่างผลการวิเคราะห์ เช่น สินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่ม มีต้นทุนเพิ่มขึ้น 1.45%  ของใช้ประจำวัน เพิ่ม 1.1% วัสดุก่อสร้าง เพิ่ม 1.2% กระดาษและผลิตภัณฑ์ เพิ่ม 5% ปัจจัยการเกษตร เช่น ปุ๋ยเคมี ยาปราบศัตรูพืช เพิ่ม 0.5% เป็นต้น ส่วนต้นทุนในด้านการขนส่ง กรมฯ ได้มีการติดตามเช่นเดียวกัน พบว่า มีผลกระทบมากน้อยต่างกัน แล้วแต่ชนิดสินค้า แต่โดยภาพรวม ไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ" 

 

“กรมฯ ได้ติดตามดูแลสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด และเห็นว่ารัฐบาลได้เข้ามาดูแลราคาน้ำมันดีเซลอยู่แล้ว ไม่น่าที่จะปรับเพิ่มขึ้น คงจะอยู่ในระดับ 30 บาทต่อลิตร ซึ่งทำให้ต้นทุนสินค้าไม่ปรับเพิ่มไปมากกว่านี้ จึงเบาใจในเรื่องต้นทุนน้ำมันที่จะกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า”นายวัฒนศักย์กล่าว

 

แต่เพื่อเป็นการดูแลราคาสินค้าไม่ให้ส่งผลกระทบกับผู้บริโภค กรมฯ ได้เชิญสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมการค้า ผู้ผลิตสินค้า ผู้ประกอบการ มาหารือเป็นรายกลุ่มสินค้าแล้ว เพื่อประเมินสถานการณ์สินค้าแต่ละรายการแล้ว และได้แจ้งขอความร่วมมือในการตรึงราคาสินค้า เพราะกระทรวงพาณิชย์ไม่มีนโยบายให้ปรับขึ้นราคาในช่วงนี้ ยกเว้นผู้ผลิต ไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนได้จริง ก็จะพิจารณาเป็นราย ๆ ไป โดยมีหลัก คือ ผู้บริโภคต้องไม่เดือดร้อนจนเกินไป และผู้ผลิตต้องอยู่ได้

 

สำหรับแนวโน้มราคาสินค้า พบว่า หลายรายการมีแนวโน้มปรับตัวลดลง เช่น ปุ๋ยเคมี ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญในการทำการเกษตร โดยราคาแม่ปุ๋ยยูเรีย ลดลง 17% จากราคาในเดือนธ.ค.2564 อยู่ที่ 953 เหรียญสหรัฐต่อตัน เหลือ 790 เหรียญสหรัฐต่อตัน ฟอสเฟต ลดลง 5% จากราคา 908 เหรียญสหรัฐต่อตัน เหลือ 859 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่วนโปรแตช เพิ่มขึ้น 8% จาก665 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็น 724 เหรียญสหรัฐต่อตัน แต่ที่ใช้เยอะ ก็คือ ยูเรีย ซึ่งจะทำให้แนวโน้มราคาปุ๋ยในประเทศปรับตัวลดลง

 

ขณะที่สินค้าในกลุ่มอุปโภคบริโภค ได้ขอความร่วมมือผู้ผลิตให้ตรึงราคาได้แล้วหลายกลุ่ม เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า น้ำอัดลม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซอสปรุงรส นมและผลิตภัณฑ์จากนม อาหารกระป๋อง อาหารสด เช่น ไข่ไก่ เนื้อไก่ และเนื้อหมู ที่ล่าสุดหลังจากตรึงราคาหน้าฟาร์ม ส่งผลให้ราคาทรงตัว และปัจจุบันเริ่มปรับตัวลดลงแล้ว

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT