แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกช่วงนี้ยังคงอยู่ในระดับสูง แม้บางช่วงที่ข่าวความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย ยูเครนเริ่มคลี่คลายลง และทำให้ราคาน้ำมันลงไปได้บ้าง แต่นักวิเคราะห์ด้านพลังงาน เชื่อว่า ราคาน้ำมันดิบในโลกมีโอกาสจะแตะ 150 ดอลลาร์สหรัฐได้
นายจอห์น ดริสโคลล์ ผู้อำนวยการเจทีดี เอเนอร์ยี่ เซอร์วิส (JTD Energy Services) บริษัทวิเคราะห์ด้านพลังงานให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า
"มีแนวโน้มที่เราอาจเห็นราคาน้ำมันพุ่งแตะระดับ 120 ดอลลาร์/บาร์เรล หรืออาจจะสูงถึง 150 ดอลลาร์ เพราะ ธุรกิจน้ำมันลงทุนด้านการสำรวจน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้น้ำมันที่เรามีอยู่ลดน้อยลง และตลาดเผชิญภาวะขาดแคลนอุปทาน"
นอกจากนี้ สถานการณ์ตึงเครียดที่หลายฝ่ายวิตกว่ารัสเซียอาจบุกยูเครนนั้น ยังทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น แม้ว่าการที่รัสเซียจะถอนกำลังบางส่วนออกจากพื้นที่ชายแดนติดกับยูเครนไปเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา และทำให้ราคาน้ำมันดิบลดลงประมาณ 3% จากเมื่อวันจันทร์ก็ตามที
ปัจจัยดังกล่าวไม่ใช่สัญญาณเดียวที่ทำให้ราคาน้ำมันจะยังอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อเนื่อง และดึงดูดเม็ดเงินไหลเข้าสู่การลงทุนในหุ้นกลุ่มน้ำมัน ซึ่งทำกำไรมหาศาลให้กับบริษัทน้ำมันข้ามชาติ
นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐที่แตะระดับสูงสุดในรอบหลายสิบปีเนื่องจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกนั้น ยังส่งผลกระทบต่อราคาก๊าซ และเพิ่มภาระต้นทุนให้กับบริษัทขุดเจาะน้ำมันไปในตัว โดยเฉพาะการผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานในสหรัฐ บริษัทสำรวจแหล่งน้ำมันจึงต้องผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้ผลิตอีกด้วย
ในช่วงเดือนธ.ค.-ม.ค.ที่ผ่านมา สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) เพิ่มขึ้นประมาณ 11 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในเดือนก.พ. โดยได้แรงหนุนจากความกังวลด้านอุปทาน อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และความตึงเครียดทางการเมือง โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ล่าสุดอยู่ที่ 94.81 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล