ในปีนี้ สิ่งหนึ่งที่เรียกได้ว่าหลายๆ ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกต้องประสบร่วมกันก็คือภัยน้ำท่วม ที่ทำความเสียหายเป็นวงกว้างทั้งในด้านชีวิต ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน ทั้งปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนที่ทำฝนตกหนักกว่าปกติ หรือระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน
แต่นอกจากสภาพอากาศแปรปรวนและระดับน้ำทะเลแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงของน้ำท่วมในแต่ละพื้นที่ ก็คือ "ปัญหาดินทรุดตัว" ที่งานวิจัยจาก University of Rhode Island บ่งชี้ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญทีเดียวที่ทำให้เกิดน้ำท่วมในเอเชีย
โดยจากงานสำรวจการทรุดของหน้าดินในเมืองทั่วโลกจำนวน 99 เมืองผ่านข้อมูลจากดาวเทียมตั้งแต่ปี 2015-2020 พบว่า เอเชียเป็นทวีปที่เจอปัญหาแผ่นดินทรุดมากที่สุดในโลก โดยในอันดับรายชื่อเมืองที่มีการทรุดของหน้าดินมากที่สุดในโลก 20 อันดับนั้น เป็นเมืองในเอเชียไปแล้ว 17 อันดับ นำโดยอันดับที่ 1 คือ เมืองเทียนจิน ประเทศจีน เมืองเซอมารัง ประเทศอินโดนีเซีย และเมืองจาการ์ตา ในขณะที่กรุงเทพ ประเทศไทยตามมาในอันดับที่ 9 ดังรายอันดับแบบเต็มด้านล่าง
Meng "Matt" Wei รองศาสตราจารย์บัณฑิตวิทยาลัยด้านสมุทรศาสตร์ ของ University of Rhode Island อธิบายว่า สาเหตุหลักที่ทำให้ดินในเมืองใหญ่เหล่านี้ทรุดตัวคือ การสูบน้ำบาดาลออกมาใช้ในกิจกรรมในชีวิตประจำวัน และกิจกรรมทางอุตสาหกรรม เพราะมีผลให้แรงดันน้ำใต้ดินลดลง ส่งผลต่อการทรุดตัวของชั้นดินโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ปัญหาดินทรุดจะเป็นปัญหาที่เจอได้ทั่วโลก เขากล่าวว่า เมืองใหญ่ในเอเชียจะได้รับผลกระทบที่รุนแรงที่สุดเนื่องจากเมืองเหล่านี้มีที่ตั้งอยู่ในที่ราบต่ำใกล้บริเวณชายฝั่ง หรือริมแม่น้ำ ทำให้ดินมีความอ่อนนุ่ม และทำให้การที่ดินทรุดตัวแม้เพียงนิดเดียวก็อาจสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลให้กับทั้งผู้คนและธุรกิจในพื้นที่
โดยในปัจจุบันจากข้อมูลของธนาคารโลก ผู้คนกว่า 1.8 พันล้านคนบนโลกกำลังอาศัยอยู่ในที่ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากอุทกภัยใหญ่ และ 70% หรือ 1.24 พันล้านคนในนั้นเป็นคนที่อาศัยอยู่ในทวีปเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออก ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อันเป็นที่ตั้งของประเทศไทยด้วย
นอกจากนี้ จากข้อมูลขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก อัตราความเสียหายจากอุทกภัยทั่วโลกยังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยขึ้นมาถึง 1.38 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 2010-2019 หรือขึ้นมาเกือบ 50% จากช่วงปี 2000-2009 ชี้ให้เห็นว่าผู้คนบนโลกกำลังเจอภัยธรรมชาติที่เกิดจากน้ำในอัตราที่ถี่ขึ้น และรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะผู้คนในประเทศยากจนในเอเชียที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด
ที่มา: Nikkei Asia