ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากภาคการท่องเที่ยว และกำลังซื้อในประเทศ ที่เพิ่มขึ้นต้องเนื่องโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะขยายตัวได้ 3.6% จากการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชนจะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยปีกระต่ายให้ไปได้สวย
จากภาพรวมของเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่อง จึงทำให้หลายธุรกิจเริ่มฟื้นตัวดีส่งผลดีต่อดัชนีต่างๆของไทยปรับตัวดีขึ้น เพียงแค่เริ่มต้นปี 2566 และหลายฝ่ายคาดว่าจะปรับตัวดีต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2566
ล่าสุด สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ออกมาเปิดเผย ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SMESI) เดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมาว่า มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สูงสุดในรอบ 21 เดือน อยู่ที่ระดับ 55.7
หากถามว่ามาจากปัจจัยบวกอะไร? คำตอบ คือ เศรษฐกิจในประเทศขยายตัวใกล้เคียงกับสถานการณ์ปกติ กำลังซื้อจากภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีขึ้น ตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวมถึง กำลังซื้อจากแรงงานที่การจ้างงานปรับตัวดีขึ้น และการจ่ายเงินโบนัสประจำปี ประกอบกับราคาต้นทุนสินค้าเชื้อเพลิงมีแนวโน้มลดลง และราคาวัตถุดิบที่เริ่มชะลอตัว ซึ่งส่งผลดีกับกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น
“ นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้นส่งผลดีต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SMESI) เดือนธันวาคม 2565 ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และคาดว่าจะดีต่อเนื่องถึงปี 2566” นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า
สำหรับองค์ประกอบสำคัญที่ส่งผลให้ค่าดัชนี SMESI เดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น ได้แก่ คำสั่งซื้อโดยรวม ที่ระดับ 63.3 กำไร ที่ระดับ 63.3 การจ้างงานที่ระดับ 51.3 ปริมาณการผลิต/การค้า/การบริการ ที่ระดับ 57.6 และต้นทุน ที่ระดับ 41.5 ขณะที่ด้านการลงทุน อยู่ที่ระดับ 53.4 จากระดับ 53.8 ชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ยังคงอยู่สูงกว่าระดับค่าฐานที่ 50
ทั้งนี้ ภาคการบริการ มีค่าดัชนี SMESI เพิ่มขึ้นสูงสุด อยู่ที่ 57.5 จากระดับ 55.3 ผลจากกำลังซื้อเพิ่มขึ้นในภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะร้านอาหาร และธุรกิจโรงแรมที่พักที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน
รองลงมา คือ ภาคการผลิต อยู่ที่ระดับ 54.3 จากระดับ 52.3 ผลจากต้นทุนการผลิตหลายรายการที่ปรับดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเชื้อเพลิง ส่งผลดีกับกลุ่มผลิตสินค้าจากพลาสติกที่ต้นทุนวัตถุดิบหลักลดลงชัดเจน
ส่วนกลุ่มธุรกิจผลิตอื่น ที่มีการพึ่งพาการขนส่งสูง เช่น การผลิตอาหารและการผลิตเครื่องประดับอัญมณี ภาคการค้า อยู่ที่ระดับ 55.0 จาก 53.3 ขยายตัวทั้งธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งในทุกพื้นที่ จากการเดินทางและผู้คนที่สัญจรมากขึ้นช่วงวันหยุดในเทศกาลปีใหม่ โดยเฉพาะภาคใต้และภาคเหนือที่ได้กำลังซื้อจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว
ส่วนภาคการเกษตร อยู่ที่ระดับ 53.0 จากระดับ 53.4 ลดลงเล็กน้อย ผลจากธุรกิจชะลอตัวลง ถึงแม้สินค้าเกษตรเมืองหนาวจะได้อานิสงส์จากปัจจัยสภาพที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก แต่ผู้ประกอบการยังกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะปุ๋ยที่ถึงแม้ว่าราคาจะเริ่มปรับลง แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าสถานการณ์ปกติ
โดยคาดการณ์ช่วง 3 เดือนข้างหน้า ปี2566 ดัชนีความเชื่อมั่นจะอยู่ที่ระดับ 55.2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 54.6 โดยคาดว่า เศรษฐกิจจะกลับสู่ระดับปกติ ซึ่งจะส่งผลดีกับภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการค้า การจับจ่ายใช้สอยกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และภาคบริการ
สำหรับปัญหาของธุรกิจ SME ในตอนนี้ คือ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ขั้นตอนการยื่นกู้ยุ่งยาก อัตราดอกเบี้ยสูง และคุณสมบัติ/เงื่อนไขที่ไม่เอื้อต่อธุรกิจรายเล็ก โดยภาพรวม SME ส่วนใหญ่ยังคงต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือมากที่สุด ด้านต้นทุนและค่าใช้จ่าย ยังต้องการให้ภาครัฐควบคุมราคาสินค้าบางประเภท
นับว่าเป็นข่าวดี!!! สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่ดัชนีเชื่อมั่น SME พุ่งใน 5 เดือนติดสูงสุด รอบ 21 เดือน หลังกำลังซื้อเริ่มดีขึ้น เศรษฐกิจภาพรวมดีขึ้น ได้แต่หวังว่าปี 2566 ตลอดทั้งปีจะไม่มีอะไรมากระทบอีก !